“ใครพอจะรู้จักหมอเป่าบ้างครับ พอดีเป็นโรคงูสวัด รู้สึกกลุ้มใจ อยากหายเร็ว ๆ จังครับ” เชื่อไหมว่าข้อความด้านบนเป็นข้อความที่มีการตั้งกระทู้ถามกันจริง ๆ ในโลกออนไลน์ ถึงการตามหา “หมอเป่า” เพื่อรักษาโรคงูสวัด... หมอเป่าคือใคร ทำไมต้องเป่า เป่าแล้วจะหายจากโรคงูสวัดจริงหรือไม่ ในบทความนี้มีคำตอบค่ะ โรคงูสวัดคืออะไร ? โรคงูสวัด นั้นถือเป็นโรคติดเชื้อไวรัสอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็มีโอกาสเป็นได้ ซึ่งโดยปกติหากร่างกายเรามีภูมิต้านทานหรือมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแม้ว่าเราจะได้รับเชื้อมาแต่ก็อาจจะไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็น แต่ทันทีทันใดที่ร่างกายอ่อนแอหรือระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ลดลงก็จะเริ่มมีอาการผื่นลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสฐานสีแดงกระจายลุกลาม และตามมาด้วยอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณที่เป็น จึงทำให้คนที่เป็นโรคงูสวัดนั้นรู้สึกเจ็บปวดทรมานและอยากจะหายจากโรคนี้ให้เร็วที่สุด ภาพประกอบโดย cornecoba จาก freepik การรักษาโรคงูสวัดแบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งการแพทย์แผนปัจจุบันในการรักษาโรคงูสวัดนั้นก็ไม่ได้ซับซ้อนหรือมีขั้นตอนยุ่งยากอะไร หลังจากแพทย์ให้การวินิจฉัยว่าเป็นงูสวัด แพทย์ก็จะมีการสั่งใช้ยาฆ่าเชื้อไวรัสให้รับประทานตามเวลาที่กำหนด และอาจจะมีการสั่งใช้ยาอื่น ๆ ร่วมด้วยไม่ว่าจะเป็นยาทาครีมพญายอที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสงูสวัดได้ (แต่อย่างไรก็ต้องใช้ยากินเป็นหลัก) หรืออาจมียาที่ช่วยลดอาการปวดตามแนวเส้นประสาทร่วมด้วย เมื่อรับประทานยาเข้าไป ยาก็จะไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส ที่สุดแล้วก็จะทำให้อาการของโรคนั้นหายไป จากนั้นก็เป็นหน้าที่เราในการรักษารอยแผลกันต่อ ภาพประกอบโดย PublicDomainPictures จาก Pixabay แล้วหมอเป่าคือใคร? ส่วน “หมอเป่า” นั้นจะหมายถึงหมอชาวบ้านที่แต่ดั้งแต่เดิมจะมีการเชื่อกันว่าสามารถรักษาโรคงูสวัดให้หายขาดได้ ขั้นตอนการรักษาก็อาจจะแตกต่างกันไปในหมอแต่ละคน อาจจะเริ่มด้วยการร่ายมนต์ร่ายคาถาสร้างความศักดิ์สิทธิ์กันก่อน จากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนการพ่นน้ำมนต์หรือพ่นยาสมุนไพรลงบนรอยแผล โดยใช้ปากหมอเป่าเนี่ยแหละอมยาเอาไว้ เสร็จแล้วก็พ่นลงไป ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่อยู่บนแผลของคนป่วยไม่ได้มีแค่เพียงยาหรือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์แน่ ๆ แต่ยังแถมไปด้วยน้ำลายของหมอเป่าอีกต่างหาก และในช่องปากนั้นย่อมเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียมากมาย การพ่นยาของหมอเป่าจึงเป็นเหมือนการพ่นเชื้อโรคนานาชนิดลงไปใส่แผลโดยตรง จึงอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง และอาจลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดจนเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ในที่สุด ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเป่ายาลงบนผิวหนัง นอกจากจะไม่ช่วยฆ่าเชื้อไวรัสงูสวัดให้ตายแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนอีกด้วยนะ ความเชื่อกับการรักษาโรคงูสวัด และถึงแม้การแพทย์แผนปัจจุบันจะก้าวไกลไปสักเพียงไหน แม้เราจะรู้กลไกการเกิดโรคงูสวัดกันอย่างชัดเจน รวมถึงมียาแผนปัจจุบันที่สามารถกินและรักษาโรคงูสวัดให้หายได้โดยที่ไม่เคยมีใครต้องตายเพราะมาหาหมอที่โรงพยาบาล แต่ทุกวันนี้เราก็ยังได้ยินข่าวการเสียชีวิตของคนที่เป็นโรคงูสวัดเพราะเลือกไปหาหมอเป่าอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่เสียชีวิตแต่ก็อาจจะต้องกลับมาโรงพยาบาลด้วยแผลพุพองที่เป็นมากกว่าเดิมหรือมาพร้อมภาวะการติดเชื้อแทรกซ้อน ซึ่งหากจะมองว่าการที่หมอเป่ายังมีตัวตนอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะคนไม่สามารถเข้าถึงความรู้ในการรักษาโรคได้ก็คงจะไม่ใช่ เพราะข้อความที่ถามหาหมอเป่าโดยไม่ถามถึงการไปหาหมอที่โรงพยาบาลที่กล่าวไว้ในตอนต้นของบทความ ก็เป็นข้อความที่มีการถามกันจริงในโลกออนไลน์เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่ง ณ ขณะนั้นการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ก็สามารถทำได้อยู่แล้ว ดังนั้นการที่คนยังเลือกรักษากับหมอเป่าจึงน่าจะมาจากความเชื่อโดยส่วนบุคคลเสียมากกว่า ภาพประกอบโดย brgfx จาก freepik สรุปแล้วเมื่อสงสัยว่าเป็นงูสวัดควรทำอย่างไร ? ดังนั้น เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็นตุ่มน้ำใสหรือตุ่มพองเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นเป็นกลุ่มบนผิวหนังตามร่างกาย พร้อมกับอาการปวดแสบปวดร้อน ให้รีบมาโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันทีเพื่อทำการวินิจฉัยต่อไปว่าลักษณะตุ่มแบบนี้เป็นงูสวัดจริงหรือไม่ และหากพบว่าเป็นงูสวัด เราก็แค่รับประทานยาต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอให้ครบ พร้อมกับระมัดระวังเรื่องของความสะอาดของรอยแผลโดยเฉพาะเมื่อตุ่มน้ำแตกออก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน และเมื่อตุ่มน้ำแห้งดีแล้วก็จึงค่อยทำการรักษาแผลเป็นกันต่อไป โดยไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องไปหาหมอเป่ายา ก่อนจะจบบทความกันไป ขอฝากทิ้งท้ายเอาไว้นะคะว่า “งูสวัดแค่กินยาก็หายได้โดยไม่ต้องให้ใครมาพ่นน้ำลายใส่แผล” และถ้าพบเจอใครที่จะไปหาหมอเป่ารักษางูสวัด ก็อย่าลืมอธิบายให้คำแนะนำที่ถูกต้องพร้อมกับการชี้แจงถึงอันตรายของการเป่าน้ำลายใส่แผลให้ฟังด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีค่ะ ภาพประกอบปกบทความโดย PublicDomainPictures จาก Pixabay