ถึงผู้อยากออกหนังสือของตัวทุกท่าน...นักอ่านหรือผู้มีความรู้หลาย ๆ คนก็คงอยากจะออกหนังสือเป็นของตัวเองสักเล่ม ผู้เขียนเองก็เช่นกันครับดังนั้นจึงได้พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเขียนหนังสือและออกหนังสือสักเล่ม จนได้มาพบกับคำว่า authorpreneur หรือนักเขียนผู้ประกอบการ และหนังสือ "สร้างโอกาสเปลี่ยนกระดาษเป็นหนังสือ" ของ ดร.นภดล ร่มโพธิ์ นักเขียน Bestseller กว่า 4 เล่ม ซึ่งหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการเขียนหนังสือตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการพิมพ์ออกมาขาย และเมื่อได้อ่านจะพบว่าสิ่งที่ ดร.นภดล เขียนและอยากให้เราไม่ได้เป็นเพียงแค่นักเขียนแต่เป็น นักเขียนผู้ประกอบการ...นักเขียนผู้ประกอบการหรือภาษาอังกฤษถ้าพูดให้เท่ ๆ ก็คือ Authorpreneur เป็นการรวมกันของคำ 2 คำ คือ Author ที่แปลว่านักเขียน กับคำว่า Entrepreneur ที่แปลว่าผู้ประกอบการ เพราะว่าสมัยนี้นักเขียนไม่จำเป็นแค่จะต้องเขียนงานเฉย ๆ แล้วส่งให้สำนักพิมพ์เป็นคนจัดการงานต่อทั้งหมดและได้ค่าตอบแทนที่ถือว่าน้อยมากจากราคาปก แต่นักเขียนผู้ประกอบการคือการเป็นนักเขียนที่สามารถเขียนงาน ทำการตลาด พิมพ์หนังสือ และจัดจำหน่ายหนังสือด้วยตัวเอง เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเองจำนวนมากกว่านักเขียนผู้ต้องรีบเร่งส่งต้นฉบับและต้องทำงานภายในกรอบพิมพ์กับสำนักพิมพ์ไม่ดีกว่าหรอ ? ก่อนอื่นใดต้องขอบอกก่อนนะครับว่าการออกหนังสือกับสำนักพิมพ์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือไม่ดีแต่อย่างใด ซ้ำก็ยังมีข้อดีที่การพิมพ์หนังสือด้วยตัวเองไม่สามารถทำได้เช่นกัน งั้นเราลองมาดูข้อดีของการพิมพ์กับสำนักพิมพ์ก่อนดีกว่าสำนักพิมพ์มีฐานแฟนคลับของเขาอยู่ หลาย ๆ สำนักพิมพ์เขาจะฐานแฟนคลับที่รอซื้อหนังสือของเขาอยู่ ถ้าเราพิมพ์หนังสือกับสำนักพิมพ์ก็มีความเป็นไปได้สูงที่หนังสือของเราจะเป็นที่รู้จักและสามารถขายได้แน่นอนเราแค่เขียนงาน ที่เหลือสำนักพิมพ์จะจัดการให้เองทั้งหมด สำหรับการออกหนังสือกับสำนักพิมพ์จะมีความสะดวกสะบายกว่าเพราะเรามีหน้าที่แค่เขียนงานแล้วส่งให้สำนักพิมพ์ กระบวนการที่เหลือสำนักพิมพ์จะเป็นคนจัดการต่อเองทั้งหมดตั้งแต่การออกแบบหน้าปก การจัดรูปเล่ม การโปรโมท การสต๊อกสินค้า และการจัดจำหน่าย เราอาจจะเข้ามามีบทบาทบ้างในบางกระบวรการแต่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดสำนักพิมพ์จะเป็นคนจัดการให้ เราไม่ต้องมาทำกระบวนการเหล่านี้เลยสำนักพิมพ์จะเป็นผู้รับความเสี่ยงไปเองทั้งหมด อย่างที่ได้กล่าวไปในข้อที่ 1 ว่างานของเราสิ้นสุดไปแล้วหลังจากเขียนงานเสร็จ ที่เหลือสำนักพิมพ์จะเป็นผู้จัดการเอง ดังนั้นสำนักพิมพ์ก็ต้องเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงเองทั้งหมดเช่นกัน ถ้าหนังสือเราขายไม่ได้ตามเป้าหมายหรือขาดทุนผู้ที่จะเสียผลประโยชน์ก็คือสำนักพิมพ์เองนั่นแหละ เพราะการลงทุนทั้งหมดเขาเป็นคนออก นักเขียนก็จะได้รับค่าตอบแทนเป็นส่วนแบ่งจากราคาปกที่ขายได้ ไม่ต้องออกทุนใด ๆ นอกจากความคิดและความสามารถ ต่อให้หนังสือเราจะขายไปม่ได้เลยสักเล่มอย่างมากเราก็ไม่ได้ผลตอบแทนจากการเขียน แต่ผู้ที่ต้องได้รับผลกระบทเต็ม ๆ เลยก็คือสำนักพิมพ์ ดังนั้นจึงเกิดเป็นข้อจำกัดในการออกหนังสือกับสำนักพิมพ์เหมือนกัน ดังนี้ ข้อจำกัดในการออกหนังสือกับสำนักพิมพ์งานของเราอาจไม่เข้าตาสำนักพิมพ์ อย่างที่บอกไปว่าสำนักพิมพ์เขาต้องแบกรับความเสี่ยงในการออกหนังสือสักเล่ม ดังนั้นบางที่ถ้างานของเราไม่เข้าตาเขาหรือไม่เหมาะกับสำนักพิมพ์ เขาก็อาจจะปฐิเสทงานของเราได้ ความคิดอาจไม่ตรงกัน การที่เราจะพิมพ์กับสำนักพิมพ์ได้ก็ต้องผ่านการพิจารณาจากบรรณาธิการก่อน สมมุติว่างานของเราผ่านการคัดเลือกแต่ก็อาจถูกข้อให้ปรับแก้ตรงนู้นตรงนี้ อาจจะเป็นเรื่องดีที่เขาเห็นบกพ่องของงานเราแต่บางมันก็อาจขัดแย้งกับความคิดหรือความต้องการของเราก็เป็นได้ แบบฉันตั้งจะจัดวางเนื้อหาแบบนี้เพราะจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายแต่บรรณาธิการอยากให้เปลี่ยนเพราะมันทำให้หนังสืออ่านไม่สนุกแบบนี้ก็เป็นไปได้ หรืออาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อยอย่างปกหรือราคาที่เรากับสำนักพิมพ์อาจเห็นไม่ตรงกันก็ได้ส่วนแบ่ง เนื่องจากสำนักพิมพ์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ดังนั้นรายได้ส่วนใหญ่จากการขายหนังสือจะตกอยู่กับสำนักพิมพ์เราจะได้ส่วนแบ่งประมาณ 10 เปอร์เซ็นจากราคาปก สมมุติหนังสือราคา 300 บาท เราก็จะได้ส่วนแบ่งจากการขายเล่มล่ะ 30 บาท ถ้าเราขายได้ 2 พันเล่มเราก็จะได้เงินกลับมาประมาณ 6 หมื่นบาท แต่ถ้าเราพิมพ์หนังสือเองยอดขาย 3 พันเล่มคิดเป็นเงิน 6 แสนบาทก็จะอยู่กับเรา...ดังนั้น ดร.นภดล จึงแนะนำให้เราพิมพ์หนังสือเอง ดังนั้นเราลองมาดูข้อได้เปรียบของการพิมพ์หนังสือเองบ้างดีกว่าข้อได้เปรียบของการพิมพ์หนังสือเอง ขายเอง เงินก็ไหลเข้าหาเราเต็ม ๆ 1. รายได้นั้นแตกต่างกันมาก อย่างที่เคยกล่าวไปว่าส่วนใหญ่เราจะได้รับส่วนแบ่งจากราคาปกประมาณ 10 เปอร์เซ็น สมมุติหนังสือราคา 300 บาท ถ้าเราขายได้ 2 พันเล่มเราก็จะได้เงินกลับมาประมาณ 6 หมื่นบาท แต่ถ้าเราพิมพ์เองและขายเองเงินทั้งหมดจากการขายคือ 6 แสนบาทก็จะอยู่กับเรา หักลบต้นทุนการพิมพ์และการโปรโมทประมาณ 2 แสนบาท เราก็จะได้รับผลตอบแทนมาที่เราแล้วเต็ม ๆ 4 แสนบาท แต่ถ้าวางจำหน่ายผ่านหน้าร้านหนังสือเราก็จะถูกหักค่าวางจำหน่ายไปด้วย** **แต่การวางขายที่ร้านหนังสือเราก็จะโดนหักค่าจัดจำหน่ายไปด้วย แล้วแต่ข้อตกลงของแต่ละร้าน ดร.นภดล ยกตัวอย่างร้าน SE-ED ว่าเราจะต้องแบ่งเงิน 45% จากราคาปกให้กับร้าน (ถือเป็นค่าเช่าและค่าพนักงานให้กับเขา) ถ้าเราเลือกขายผ่าน SE-ED และหักลบต้นทุนการผลิตเราก็จะได้รับค่าตอบแทนประมาณ 130,000 บาท ซึ่งก็ถือว่ามากอยู่ดีถ้าเทียบกับการพิมพ์ผ่านสำนักพิมพ์ นี่ยังไม่รวมถ้าเราขายเป็น E-Book หรือ Audio-Book อีกนะ ซึ่ง 2 อย่างนี้มีต้นทุนที่ถูกกว่าหนังสือเล่มอย่างมาก2. อิสระใรการทำงาน แน่นอนถ้าเราทำงานทั้งหมดด้วยตัวเอง (อาจมีการจ้างผู้อื่นมาช่วย) เราจะมีอิสระในการทำงานมากขึ้นทำงานได้ตามความตั้งใจของเรา บางคนอาจทำงานประจำไปด้วยระหว่างเขียนหนังสือก็จะไม่ต้องถูกสำนักพิมพ์เร่งให้เรียบส่งต้นฉบับ และที่สำคัญหนังสือของเราก็จะออกมาในแบบที่เราต้องการมากที่สุดเพราะเราเป็นคนทำมันมาองตั้งแต่เริ่มจนจบสุดท้ายแล้วถึงการพิมพ์หนังสือเองเราจะได้รับผลตอบแทนมากกว่า แต่เราก็ต้องแบกรับความเสี่ยงไว้เองและออกทุนในการผลิตหนังสือเองไปก่อน ก็เหมือนการลงทุนนั้นแหละครับจึงเป็นนักเขียนผู้ประกอบการแต่สุดท้ายแล้วเราก็สามารถเลือกได้ครับว่าการพิมพ์ด้วยตัวเองหรือสำนักพิมพ์อะไรเหมาะสมกับเราที่สุด แต่ก็มีข้อแนะนำคือถือเราอยากจะออกหนังสือด้วยตนเองเราก็ควรมีฐานแฟนครับพอสมควร เราอาจจะเริ่มจากการเขียนบทความส่งให้เว็บไซต์ต่าง ๆ หรือที่ง่ายที่สุดที่ ดร.นภดล แนะนำคือการเขียนบทความลงเพจเฟสบุ๊คของเราเอง เพราะจะง่ายต่อการติดตามของแฟนคลับและสามารถประชาสัมพันธ์ได้ด้วยเมื่อเราออกหนังสือสักเล่มในความคิดของผู้เขียนหากเราไม่มีต้นทุนใด ๆ ที่จะลงทุนพิมพ์หนังสือเอง เราอาจพิมพ์หนังสือเล่มแรกกับสำนักพิมพ์ก่อนก็ได้เพื่อประกันความเสี่ยงและเราไม่ต้องใช้ต้นทุนใด ๆ มาก แล้วเป็นการลองดูด้วยว่าเราชอบการทำงานเป็นนักเขียนมั้ย ถ้าเราออกเล่มแรกกับสำนักพิมพ์แล้วเราอยากทำงานหนังสือต่อและหวังค่าตอบแทนที่มากกว่าหรืออยากได้อิสระในการทำหนังสือในแบบของเราก็ขอให้ทุกคนลองมาเป็นนักเขียนผู้ประกอบการกันดู... รูปภาพหน้าปก nopadolรูปภาพประกอบ: link1 / link2 / link3 / link4 / link5 / link6