B.1.1.7 หรือ B.1.617.2 ถ้าเรียกกันแบบนี้ โลกคงสับสนวุ่นวายกันมากกว่าเดิม และทุกอย่างก็ง่ายขึ้น เมื่อเราเรียกว่า อัลฟา เบตา แกมมา เดลตา องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ได้กำหนดการใช้ตัวอักษรกรีก ในการตั้งชื่อเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 เพราะชื่อในทางวิทยาศาสตร์นั้น ยากเกินไปที่จะพูด และทำให้ผู้คนจดจำได้ และการเรียกชื่อตามแหล่งที่มาอาจก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่นที่ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เรียกเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า ไวรัสจีน (Chinese Virus) ซึ่งทำให้เกิดการคุกคาม และคดีความเกลียดชังคนเชื้อสายเอเชียในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นถึง 146% ระหว่างปี 2019 - 2020 ในประวัติศาสตร์โลก การเรียกชื่อโรคระบาดตามชื่อประเทศต่าง ๆ นั้น ก็ได้ก่อให้เกิดปัญหามากมายในอดีต เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสและคณะ (Christopher Columbus) นำเชื้อซิฟิลิส (Syphilis) ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในโลกเก่า กลับมาจากทวีปอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ 1500 ผู้คนในยุโรปต่างเรียกชื่อโรคนี้ด้วยชื่อชนชาติ เช่น ชาวฝรั่งเศสเรียกโรคนี้ว่า โรคอิตาลี, ชาวอิตาลีเรียกว่า โรคฝรั่งเศส, ชาวรัสเซียเรียกว่า โรคชาวโปล์ (โปแลนด์), ชาวโปล์เรียกว่า โรคเยอรมัน, ชาวเติร์กเรียกว่า โรคคริสเตียน, ชาวมุสลิมในอินเดียเรียกว่า โรคฮินดู และชาวฮินดูเรียกว่า โรคมุสลิม กว่าจะกำหนดชื่อ 'ซิฟิลิส' ออกมาก็ต้องรอถึงปี 1530 จะเห็นได้ว่า 'ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย' แผนที่แสดงดินแดนที่เรียกชื่อโรคซิฟิลิสด้วยคำต่าง ๆ, ก่อนจะมีคำว่า 'ซิฟิลิส' องค์การอนามัยโลกได้ประกาศการตั้งชื่อโรคใหม่ ให้หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อของสถานที่ หรือกลุ่มคน หรือแม้แต่ชื่อสัตว์ การตั้งชื่อโรคควรตั้งจากชื่อของเชื้อที่ทำให้เกิดโรคนั้น เช่น เชื้อไวรัสโคโรน่า องค์การอนามัยโลกก็กำหนดให้เรียกชื่อว่า โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus disease 2019) โดยใช้คำย่อว่า COVID-19 หรือ โควิด-19 และชื่อเชื้อไวรัสว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (Severe Acute Respiratory Syndrome Corona Virus 2) ใช้คำย่อว่า SARS-CoV-2 แต่ทว่าเมื่อเชื้อไวรัสโคโรนาเกิดการกลายพันธุ์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในระยะแรกเราจะได้ยินการเรียกชื่อ สายพันธุ์ใหม่ ๆ นั้นตามชื่อของแหล่งที่ระบาด เช่น สายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์อินเดีย สายพันธุ์แอฟริกาใต้ อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอย่างทำนองที่เกิดขึ้นในอดีต และโทษกันไปกันมาหลายสิบปี มนุษย์ก็เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่า 'อย่าหาทำ' องค์การอนามัยโลกประกาศว่า “ไม่ควรมีประเทศไหนสมควรจะถูกตีตราให้เป็นชื่อโรค จากการมีรายงานการตรวจพบสายพันธุ์ของเชื้อโรค” ("No country should be stigmatised for detecting and reporting variants,") https://twitter.com/mvankerkhove/status/1399388129300205569?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1399388129300205569%7Ctwgr%5E%7Ctwcon%5Es1_&ref_url=https%3A%2F%2Fwww.bbc.com%2Fnews%2Fworld-57308592 ในขณะที่การเรียกชื่อตามหลักทางวิทยาศาสตร์นั้นยากเกินไป ทางออกของปัญหานี้ คือ การตั้งชื่อสายพันธุ์ตามตัวอักษรกรีก ตัวอักษรกรีกมีพยัญชนะทั้งหมด 24 ตัว แต่ละตัวมีชื่อเรียกเฉพาะของตัวซึ่งมีการออกเสียงที่แตกต่างกัน และค่อนข้างเป็นที่คุ้นหูของชาวโลกอยู่แล้ว แต่ชื่อในทางวิทยาศาสตร์ เช่น B.1.617.2 / B.1.1.7 ยังคงใช้กันต่อไปในวงการวิทยาศาสตร์ ปัจจุบัน (มิถุนายน 2021) องค์การอนามัยโลกใช้ประกาศตั้งชื่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากตัวอักษรกรีกไปแล้ว 10 ตัว จาก 24 ตัวอักษร หากมีการตั้งชื่อตามตัวอักษรกรีกจนครบทุกพยัญชนะแล้ว องค์การอนามัยโลกจะประกาศชุดการตั้งชื่อใหม่ต่อไป แน่นอนว่าเราคงไม่มีใครอยากให้ทั่วโลกมาเรียกชื่อไวรัสว่า ไวรัสไทย เชื้อไทย โรคไทย หรือไข้หวัดกรุงเทพฯ ไม่ว่าประเทศไหนก็เช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรเรียกชื่อสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรน่าตามตัวอักษรกรีก แทนที่จะเรียกชื่อตามประเทศที่มีรายงานการตรวจพบสายพันธุ์ใหม่เป็นครั้งแรก บรรณานุกรม - อ้างอิง 1 / อ้างอิง 2 / อ้างอิง 3 / อ้างอิง 4 / อ้างอิง 5 / อ้างอิง 6 / อ้างอิง 7 / อ้างอิง 8 เครดิตภาพปกจาก : keystonekeynote เครดิตภาพประกอบ - ภาพที่ 1 : Map Porn - ภาพที่ 2 : ancient-symbols - ภาพที่ 3 : Steve Baragona อัพเดทข่าวสารใหม่ ๆ ก่อนใคร และเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !