ข่าวคราวความเคลื่อนไหวในวงการฟุตบอลยุโรป ในช่วงที่ต้องพักการแข่งขันเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คงหนีไม่พ้นเรื่องการเสริมทัพของแต่ละทีม ลิเวอร์พูล ว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลปัจจุบันก็เช่นกัน แม้จะมีข่าวว่าพวกเขาต้องการ ติโม แวร์เนอร์ กองหน้าตัวเก่งของ แอร์เบ ไลป์ซิก มาร่วมทีม แต่ แวร์เนอร์ ก็ไม่ใช่กองหน้าเพียงคนเดียวที่ยอดทีมจากถิ่นเมอร์ซีย์ไซด์ปรารถนา ชื่อของ คิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ กองหน้าดาวรุ่งดีกรีแชมป์โลก 2018 ของ ปารีส แชงต์-แชร์กแมง ก็เป็นอีกคนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ และเหล่าเดอะค็อปบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เอานะ เอ็มบั๊ปเป้ ย้ายจาก โมนาโก มาร่วมทีม เปแอสเช ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 166 ล้านปอนด์ (รวมแอดออนต่าง ๆ แล้ว) ถือเป็นเจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกอันดับที่ 2 รองจาก เนย์มาร์ เพียงคนเดียว นั่นน่าจะเป็นเรื่องยากหากหงส์แดงต้องการได้ตัวเขามาร่วมทีม เปแอสเช ไม่มีทางปล่อยเขาออกไปหากได้ค่าตัวน้อยกว่าที่พวกเขาเคยจ่ายให้กับ โมนาโก อย่างแน่นอน แล้วอะไรที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังคงล็อกเป้าในการดึงตัว เอ็มบั๊ปเป้ มาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ วันนี้ผมจะมาวิเคราะห์เหตุผลแต่ละข้อให้ทราบกัน 1. นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ลิเวอร์พูล อยากได้ เอ็มบั๊ปเป้ ย้อนไปช่วงเดือนพฤษภาคม 2017 ตอนที่ เอ็มบั๊ปเป้ ในวัย 18 ปี กำลังสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมกับ โมนาโก ปีนั้นเขาลงเล่นให้กับ โมนาโก 38 นัด (นับเฉพาะลีกเอิง และ UCL) ทำได้ 21 ประตู 8 แอสซิสต์ พาทีมคว้าแชมป์ลีกเอิงได้เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี รวมทั้งยังช่วยให้ โมนาโก เข้าถึงรอบรองฯ ในศึก UCL อีกด้วย ทำให้มีข่าวว่า ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ พร้อมทุ่มเงิน 75 ล้านยูโร ซึ่งถือว่าสูงเป็นสถิติสโมสรในช่วงเวลานั้น ดึงตัวเขามาร่วมทีม แต่ก็โดน โมนาโก ปฏิเสธข้อเสนอนี้ไป นั่นบ่งบอกได้ว่า ลิเวอร์พูล สนใจ เอ็มบั๊ปเป้ มานานกว่า 3 ปีแล้ว และยังคงต้องการตัวเขามาจนทุกวันนี้ 2. ถ้า มาเน่ ย้ายออกไป เอ็มบั๊ปเป้ คือตัวแทนที่เหมาะสมที่สุด อย่างที่เราทราบกันดี เจอร์เก้น คล็อปป์ วางระบบให้ลูกทีมลงเล่นในแผน 4-3-3 โดยมี 3 กองหน้าตัวอันตรายอย่าง มาเน่, ฟีร์มีโน่ และ ซาลาห์ คอยล่าตาข่ายคู่แข่ง ซึ่งทั้ง 3 คนก็ต่างมีผลงานที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ฤดูกาล 2017/18 เรื่อยมาจนถึงฤดูกาลปัจจุบัน ฤดูกาล 2017/18 - 2019/20 : มาเน่ ลงเล่น 123 นัด ทำไป 62 ประตู 18 แอสซิสต์ ฤดูกาล 2017/18 - 2019/20 : ฟีร์มีโน่ ลงเล่น 133 นัด ทำไป 50 ประตู 31 แอสซิสต์ ฤดูกาล 2017/18 - 2019/20 : ซาลาห์ ลงเล่น 133 นัด ทำไป 89 ประตู 32 แอสซิสต์ *นับเฉพาะการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก และ UCL เท่านั้น ระยะเวลาที่ยังไม่เต็ม 3 ฤดูกาล พวกเขาทั้ง 3 คนช่วยกันถล่มประตูรวมแล้วกว่า 200 ประตู นี่คือประสิทธิภาพที่ยากจะหาใครมาทดแทนได้ แต่ด้วยกระแสข่าวลือเกี่ยวกับ ซาดิโอ มาเน่ ที่ตกเป็นเป้าหมายหลักของ รีล มาดริด ในการเสริมทัพช่วงซัมเมอร์นี้ รวมทั้งใจของนักเตะก็เริ่มโอนเอียงมาทางฝั่งทีมเมืองหลวงของสเปนมากขึ้นเรื่อย ๆ และนักเตะที่จะมาแทน มาเน่ ได้นั้นก็มีอยู่ไม่กี่คนในยุโรป ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องรื้อแผนการดึงตัว เอ็มบั๊ปเป้ กลับมาจริงจังอีกครั้ง จริง ๆ แล้ว เราอาจไม่จำเป็นต้องสาธยายถึงความเก่งกาจของ เอ็มบั๊ปเป้ ให้ทราบอีกแล้ว เพราะเชื่อว่าแฟนบอลทั้งโลกก็คงรู้ถึงฝีเท้าอันยอดเยี่ยมของเขาเป็นอย่างดี ซึ่งหาก ลิเวอร์พูล ได้ตัวเขามาแทนที่ มาเน่ นอกจากจะเป็นการอุดรอยรั่วในตำแหน่งที่ มาเน่ ทิ้งไว้แล้ว เขาอาจทำได้ดีกว่าเจ้าของตำแหน่งเดิมอีกก็เป็นได้ ฤดูกาลนี้ เอ็มบั๊ปเป้ ลงเล่นให้กับ ปารีส แชงต์-แชร์กแมง ในทุกรายการรวม 33 นัด ทำไป 30 ประตู 17 แอสซิสต์ รั้งตำแหน่งดาวซัลโวของลีกเอิงอยู่ในขณะนี้ (ร่วมกับ เบน เย็ดแดร์ กองหน้าของ โมนาโก) เขาถูก โธมัส ทูเคิ่ล จับเล่นทุกตำแหน่งในแนวรุก ไม่ว่าจะเป็นกองหน้าตัวเป้า หรือตัวริมเส้นทั้งฝั่งซ้ายและขวา ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแนวรุกคนอื่นในทีมว่าพร้อมลงสนามหรือไม่ แม้ตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าจะเป็นตำแหน่งที่เขาทำผลงานได้ดีที่สุด (14 นัด ยิง 14 ประตู 5 แอสซิสต์) แต่ในตำแหน่งกองหน้าฝั่งซ้ายซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่ มาเน่ ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล เอ็มบั๊ปเป้ ก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน (7 นัด ยิง 4 ประตู 1 แอสซิสต์) เรียกได้ว่าเขาพร้อมที่จะมาทดแทนการจากไปของ มาเน่ ได้อย่างไร้รอยต่อทีเดียว 3. เอ็มบั๊ปเป้ คือนักเตะระดับโลกที่พร้อมเพิ่มมูลค่าให้กับ ลิเวอร์พูล ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ลิเวอร์พูล คือหนึ่งในทีมที่ดีที่สุด แข็งแกร่งที่สุดในโลกตอนนี้ จากผลงานเข้าชิงฯ UCL 2 ฤดูกาลติดต่อกัน รวมทั้งการจ่อที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยผลงานอันสุดยอด ส่วน เอ็มบั๊ปเป้ คือกองหน้าดาวรุ่งที่ทั้งสื่อและแฟนบอลยกให้เป็นตัวเต็งที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะเบอร์หนึ่งของโลกในอนาคต หลังจากที่ทั้ง โรนัลโด้ และ เมสซี่ เลิกเล่นไป โดยเว็บไซต์ transfermarkt.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ประเมินค่าตัวนักฟุตบอลยกให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าตัวแพงที่สุดในตลาดตอนนี้ที่ 180 ล้านยูโร ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว หาก ลิเวอร์พูล ต้องการก้าวขึ้นมาเป็นทีมเบอร์หนึ่งของโลกอย่างเต็มตัว พวกเขาก็ควรมีนักเตะที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลกอยู่ในทีมเช่นกัน ยิ่งในฤดูกาลหน้าพวกเขาจะได้ ไนกี้ เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักในการผลิตชุดแข่งขันให้ โดยไนกี้เองก็เป็นสปอนเซอร์ให้กับ เอ็มบั๊ปเป้ ด้วยเช่นกัน ไม่มีอะไรจะลงล็อกไปกว่านี้อีกแล้ว แม้ค่าตัวของ เอ็มบั๊ปเป้ อาจจะเป็นอุปสรรค แต่ก็มีข่าวหลุดออกมาว่า ไนกี้ ก็พร้อมช่วยซัพพอร์ตในจุดนี้อีกด้วย และถ้า เอ็มบั๊ปเป้ ได้ย้ายมาเล่นที่แอนฟิลด์จริง ลิเวอร์พูล จะได้แฟนบอลเพิ่มขึ้น มีรายได้จากทั้งค่าตั๋ว การขายเสื้อและสินค้าเพิ่มขึ้น หุ้นสโมสรพุ่งขึ้นในแดนบวก และด้วยวัยเพียง 21 ปีของ เอ็มบั๊ปเป้ หากเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ลิเวอร์พูล อาจทำกำไรจากการขายเขาให้กับยักษ์ใหญ่ในสเปนได้อีกเช่นกัน นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่ ลิเวอร์พูล พร้อมและจำเป็นต้องกระชากตัว เอ็มบั๊ปเป้ มาร่วมทีมให้ได้ หากหวังที่จะสานต่อความสำเร็จให้ต่อเนื่องไปในอนาคต ขอขอบคุณ เครดิตภาพปกจาก : sport.trueid.net/ เครดิตภาพจาก : ภาพที่ 1 : sport.trueid.net/ ภาพที่ 2 : sport.trueid.net/ ภาพที่ 3 : sport.trueid.net/ ภาพที่ 4 : sport.trueid.net/ ภาพที่ 5 : sport.trueid.net/ ภาพที่ 6 : sport.trueid.net/