“ทำไมแกล้งจับผมคนเดียว” คำพูดนี้ระวังมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เวลา ๗.๓๑ น. ณ จุดสกัดบนทางหลวงแห่งหนึ่ง ดาบตำรวจองอาจ ในฐานะเจ้าพนักงานตำรวจนายหนึ่งซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตทางหลวงได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็งในการตรวจสอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทุกคันที่กำลังขับเคลื่อนมายังจุดสกัดที่เขาและเพื่อนตำรวจของเขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ซึ่งในระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้นได้มีรถยนต์ที่มีการจดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้างและบรรทุกผู้โดยสารขับเข้ามาที่จุดสกัดดังกล่าว ดาบตำรวจองอาจจึงได้ตรวจสอบเอกสารการจดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวแล้วไม่พบว่ามีการกระทำความผิดแต่อย่างใดจึงให้รถยนต์คันดังกล่าวขับผ่านไปและดำเนินการตรวจรถยนต์คันถัดไปซึ่งเป็นรถยนต์รับจ้างและบรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวน ดาบตำรวจองอาจจึงโบกมือในลักษณะแสดงสัญญาณให้ผู้ขับรถยนต์คันนั้นชะลอความเร็วรูปภาพจาก https://pixabay.com/ “สวัสดีครับ มากันหลายคนเลย จะเดินทางไปไหนกันเหรอครับ” ดาบตำรวจองอาจกล่าวทักทายคนขับรถยนต์ คนขับรถยนต์ตอบกลับไปว่า “ผมกำลังจะรีบไปส่งผู้โดยสารที่ในตัวอำเภอครับ ขอผมผ่านหน่อยนะครับ” “ตอนนี้เจ้าพนักงานตำรวจกำลังดำเนินการตั้งจุดสกัดเพื่อกวดขันวินัยจราจรนะครับ ผมรบกวนขอตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับรายการจดทะเบียนรถยนต์ด้วยครับ” ดาบตำรวจชี้แจงเหตุผลในการขอตรวจเอกสารจากคนขับรถยนต์” “ได้เลยครับ คุณตำรวจ” คนขับรถยนต์กล่าวพร้อมเอื้อมมือไปหยิบเอกสารในลิ้นชักฝั่งตรงข้ามแล้วรีบส่งเอกสารให้ดาบตำรวจองอาจรูปภาพจาก https://pixabay.com/ ดาบตำรวจองอาจได้ดำเนินการตรวจสอบเอกสารแล้วพบว่า รถยนต์คันนี้ได้จดทะเบียนรถยนต์ถูกต้องตามกฎหมายแต่เนื่องจากรถยนต์คันนี้บรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวนจนอยู่ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้โดยสารและรถยนต์คันอื่นที่สัญจรในทางหลวงดังกล่าว ดาบตำรวจองอาจจึงได้แจ้งข้อหากับคนขับรถยนต์ว่าเป็นผู้กระทำผิดข้อหาขับรถรับจ้างโดยรับผู้โดยสารเกินจำนวน เมื่อคนขับรถยนต์ได้รับแจ้งข้อหาดังกล่าวกลับรู้สึกเกิดความไม่พอใจและได้กล่าววาจากับดาบตำรวจองอาจว่า “รถคันนั้นคนก็แน่นเหมือนกันทำไมไม่จับกุมหรือจะแกล้งจับเฉพาะผมคนเดียวเท่านั้น ตำรวจไม่ให้ความยุติธรรม”รูปภาพจาก https://pixabay.com/ ดาบตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายได้ยินเช่นนั้นจึงได้ดำเนินการแจ้งข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๖กับบุคคลดังกล่าวด้วยอีกกระทงหนึ่ง คดีนี้มีการต่อสู้คดีกันจนคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาและศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาว่า ถ้อยคำที่คนขับรถยนต์ได้กล่าวนั้นแสดงว่าคนขับรถยนต์ได้กล่าวโดยตั้งใจและเป็นการกล่าวดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ว่าปฏิบัติหน้าที่ไม่ยุติธรรมและแกล้งจับตนหาใช่กล่าวในลักษณะปรับทุกข์ ติชม ปรารภ หรือขอความเห็นใจแต่อย่างใด ดังนั้น คนขับรถยนต์จึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๖รูปภาพจาก https://pixabay.com/ เรื่องเล่านี้สอนให้รู้ว่า หากเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ปฏิบัติหน้าที่โดยเที่ยงธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต แต่ผู้กระทำความผิดกลับกล่าวถ้อยคำในลักษณะกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกลั่นแกล้งตน คำกล่าวเช่นนี้อาจเป็นถ้อยคำดูหมิ่นเจ้าพนักงานได้ (อ้างอิงถ้อยคำตามคำพิพาษาศาลฎีกาที่ ๑๐๘๑/๒๕๐๕)ภาพหน้าปกจาก https://pixabay.com/