ทุกข์ใจจนได้สติคืน (บทความสุขภาพจิต) ความทุกข์จากการสูญเสียเป็นภาวะที่ไม่มีใครปรารถนา แต่ความสูญเสียก็เป็นภาวะตามธรรมชาติที่อยู่คู่มนุษย์ตลอดมา ส่งผลต่อสุขภาพจิตของทุกคนให้ต้องเศร้าหมองเสียใจคร่ำครวญ จนบางคนปรับตัวไม่ได้ถึงขั้นฆ่าตัวตายหรือเสียสติ ป่วยด้วยโรคทางจิตเวชก็สามารถพบเห็นได้ในสังคมทั่วไป ความสูญเสียที่ส่งผลต่อชีวิตคนเรามีหลายรูปแบบอาจเป็นการสูญเสีย ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ และที่สำคัญที่สุดคือการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักโดยเฉพาะการตายจากกันซึ่งรุนแรงที่สุด แต่แม้ว่า “ความสูญเสียจะทำให้เสียสติแต่ในทางกลับกันคนเราก็สามารถได้สติกลับคืนมาจากความสูญเสียได้เช่นกัน” ดังเช่นประวัติของพระภิกษุณีอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ที่ผู้เขียนจะนำมายกตัวอย่างต่อไปนี้ พระปาฏาจาราเถรี นางเกิดในตระกูลเศรษฐีผู้มั่งคั่งแห่งกรุงสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้วก็ได้หนีบิดามารดาไปกับชายชาวชนบทอรรถกถาว่านางลักลอบรักกับลูกจ้างภายในเรือน เมื่อบิดามารดาจัดหาคนที่มีชาติเสมอกันให้แต่งด้วย นางจึงตัดสินใจหนีออกจากเรือนไปอยู่ในที่ห่างไกลจากพระนคร ขณะที่อายุได้ 16 ปีนางมีบุตรหนึ่งคนและกำลังอุ้มท้องคนที่สองจึงต้องการกลับไปเยี่ยมบ้านและคลอดบุตรที่นั่น เมื่อถึงเวลาที่สามีเข้าป่าไปหาของมาขาย นางจึงแอบหนีไปพร้อมกับบุตรคนแรก แต่สามีก็ตามมาทันขณะนั้นมีเมฆใหญ่ทะมึนตั้งขึ้น เกิดฝนตกหนัก นางเจ็บท้องใกล้คลอด สามีจึงเดินไปหาที่กำบังฝนให้แต่แล้วก็ถูกงูกัดตาย นางจึงให้กำเนิดบุตรคนที่สองออกมาประดุจคนกำพร้าหมดที่พึ่ง รุ่งเช้านางจึงเดินทางต่อไป จนพบกับแม่น้ำอจิรวดีเป็นแม่น้ำสายน้อยที่ไม่กว้างแต่ก็มีน้ำเต็มเปี่ยม นางจึงอุ้มบุตรคนเล็กข้ามฟากไปวางไว้ที่ฝั่งโน้นก่อนแล้วจึงกลับมารับบุตรคนโต ในตอนนั้นเองมีเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบเอาทารกน้อยที่กำลังร้องไห้จ้าไป นางจึงโบกมือไล่เหยี่ยว บุตรคนโตเข้าใจว่าแม่กวักมือเรียกตนจึงเดินลงมาที่กลางแม่น้ำจนถูกกระแสน้ำพัดไปเช่นกัน นางเสียใจสุดประมาณได้แต่รำพันว่า “บุตรของเราคนหนึ่งก็ถูกเยี่ยวเฉี่ยวเอาไป อีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีก็ตายเสียในที่เปลี่ยว” นางเดินโซซัดโซเซไปยังบ้านของบิดามารดา ชาวบ้านจำนางได้จึงบอกกับนางว่า เมื่อคืนวานเกิดฝนตกหนักบิดามารดาและพี่ชายของนางถูกบ้านถล่มทับตายทั้งหมด ทั้งสามถูกเผาอยู่ที่เชิงตะกอนเดียวกันควันที่พื้นยังเห็นรอยอยู่เลย เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นางเสียใจมากจนกลายเป็นบ้า เดินไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ไปตามถนน ปากก็บ่นเพ้อว่า “ลูกสองคนก็ตาย สามีก็ตายที่หนทาง บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเผาที่ เชิงตะกอนเดียวกัน” นับตั้งแต่นั้นนางก็ถูกเรียกว่าปาฏาจาราเพราะความมีมารยาทหายไป ไม่นุ่งห่มผ้าคลุมกายบางคนเห็นนางแล้วก็โปรยฝุ่นใส่ บางคนขว้างด้วยท่อนไม้ บางคนก็โยนขยะใส่หัว แล้วขับไล่ว่า “ไป…นางบ้า” หน้าพระวิหารเชตวัน เมื่อพระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นนางแล้วจึงกระทำให้นางเดินไปในทางที่ประทับ เมื่อนางมาถึงพระพุทธองค์ก็ตรัสว่า ”จงกลับได้สติเถิดน้องหญิง” นางจึงได้สติกลับคืนด้วยพุทธานุภาพ เมื่อรู้ตัวว่าตนไม่มีผ้านุ่งห่มก็เกิดความละอาย มีชายคนหนึ่งโยนผ้าให้นางห่มแล้วถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกราบทูลว่า “ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญขอทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ด้วย” จากนั้นก็เล่าถึงความสูญเสียของตนให้ฟัง พระพุทธองค์จึงตรัสปลอบโยนว่า “ดูก่อนปาฏาจาราเธออย่าคิดไปเลยเธอมาหาเรา ซึ่งสามารถเป็นที่พึ่งเธอได้ ก็บัดนี้เธอหลั่งน้ำตาเพราะความตายของลูกเป็นต้นเหตุฉันใด ในสังสารวัฏที่เงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ปรากฏก็ฉันนั้น น้ำตาที่หลังเพราะความตายของลูกเป็นต้นเหตุยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ “ พระองค์ตรัสต่อว่า “น้ำในมหาสมุทรทั้งสี่มีปริมาณน้อย ความเศร้าโศกของนรชนผู้ถูกทุกข์กระทบนั้น น้ำจากน้ำตามิใช่น้อย แต่มีปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เสียอีกแม่เอ่ยเหตุไรเจ้าจึงประมาทอยู่เล่า” เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสธรรมเรื่องสังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุด ความโศกเศร้าของนางก็ทุเลาลง พระองค์จึงตรัสว่า “ดูก่อนปาฏาจาราขึ้นชื่อว่าชนผู้เป็นที่รักแห่งตนก็ไม่อาจช่วยเหลือหรือซ่อนเร้นหรือเป็นที่พึ่งของคนที่กำลังไปสู่ปรโลกได้ ชนผู้เป็นที่รักเหล่านั้นแม้มีอยู่ก็เหมือนไม่มีฉะนั้นบัณฑิตพึงชำระศีลของตนแล้วทำทางที่จะไปสู่พระนิพพานให้สำเร็จเถิด” จากนั้นก็ทรงแสดงพระคาถาว่า ไม่มีบุตรที่จะช่วยต้านทานบิดาและพวกพ้องก็ช่วยไม่ได้เมื่อความตายมาถึงตัวแล้วแม้หมู่ญาติก็ช่วยไม่ได้ สัจจะ(ความจริง) ธรรมะ(ความดี) อาหิงสา(ความไม่เบียดเบียน) สัญญมะ(ความยับยั้งชั่งใจ) และข่มใจ มีอยู่ในผู้ใดพระอริยะทั้งหลายย่อมคบผู้นั้น นั่นเป็นอมตะธรรม บัณฑิตรู้ใจความข้อนี้แล้วสำรวมในศีล พึงรีบเร่งชำระทางไปพระนิพพานทีเดียว” เมื่อจบพระธรรมเทศนานางปาฏาจาราก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ทูลขอบรรพชากับพระพุทธองค์ ท่านก็ทรงให้บรรพชาอุปสมบทในสำนักภิกษุณีและแล้วนางก็เจริญวิปัสสนากรรมฐานจนบรรลุเป็นพระอรหันได้ที่สุด จากตัวอย่างของพระภิกษุณีปาฏาจาราเถรีนั้นคงจะเห็นแล้วว่าท่านประสบกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักถึงหกคนในวันเดียวกัน เป็นเหตุให้เสียสติแบบเฉียบพลัน นั้นในด้านจิตเวชศาสตร์แผนปัจจุบันเรียกอาการของพระปาฏาจาราเถรีว่า brief psychotic disorder คือโรคจิตแบบเฉียบพลัน ซึ่งปัจจุบันพบผู้ที่มีอาการทางจิตในลักษณะนี้อยู่ไม่น้อยและมีให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ หากผู้ใดป่วยก็ควรรีบช่วยกันพาไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชโดยเร็ว อนึ่งเรื่องราวของพระภิกษุณีปาฏาจารายังแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงใช้พุทธานุภาพชี้นำให้ท่านได้เห็นถึงสัจธรรมของความสูญเสียว่าเป็นธรรมดา ที่สรรพสัตว์ทั้งหลายจะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านั้นทำให้มองเห็นการ เกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไปตามธรรมชาติ ประกอบกับการที่พระภิกษุณีเจริญวิปัสสนาจึงดับทุกข์ได้ในที่สุด ดังที่ผู้เขียนกล่าวไว้แต่ต้นแล้วว่า “ความสูญเสียทำให้เสียสติแต่ในทางกลับกันเราก็สามารถได้สติจากความสูญเสียได้เช่นกัน” นั่นคือทุกข์ใจจนได้สตินั่นเอง แล้ววันนี้ท่านทั้งหลายได้นำความสูญเสียต่างๆในชีวิตมาพิจารณาธรรม และเป็นอารมณ์กรรมฐานโดยการกำหนดรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกต่างๆที่เกิดจากความสูญเสียกันแล้วหรือยัง ขอเพียงตั้งสติให้ดีและพิจารณาความสูญเสียต่างๆให้เห็นถึงธรรมชาติที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป พร้อมทั้งเจริญสติปัฏฐานสี่ร่วมด้วยอย่างสม่ำเสมอ แล้วเมื่อนั้นท่านจะได้พัฒนาสติของตนเองขึ้นจากความสูญเสีย สุขภาพจิตก็จะสมบูรณ์แข็งแรงและเกิดสันติสุขในที่สุดภาพปกจาก: ChrisFiedler /pixabay ภาพที่1จาก: mollyroselee / pixabay ภาพที่2จาก: Counselling / pixabay ภาพที่3จาก: KELLEPICS /pixabay ภาพที่4จาก : truthseeker08 / pixabay บรรณานุกรมสถาบันบันลือธรรม. 40ภิกษุณีพระอรหันต์. กรุงเทพฯ: ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม, 2551.จำลอง ดิษยวณิช. จิตวิทยาการดับทุกข์. เชียงใหม่: กลางเวียงการพิมพ์เชียงใหม่, 2544.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์. ปาฏิหาริย์แห่งการสำนึกรู้คุณ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อัมรินทร์ธรรมะ, 2552. รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญานักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy ,ไอดีไลน์ac6555 อัปเดตบทความดีต่อใจ ๆ แบบนี้อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !