อื่นๆ

ท้องนาที่เปลี่ยนไป

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ท้องนาที่เปลี่ยนไป

ปี พ.ศ.2562 ช่วงเดือนธันวาคม ผู้เขียนได้ไปส่งของแถวชานเมือง บ้านที่ไปส่งอยู่ติดทุ่งนาซึ่งเป็นช่วงเกี่ยวข้าวพอดีจึงเห็นทุ่งนาที่มีคนกำลังเกี่ยวข้าว บางคนก็ขนข้าวใส่รถ ผมจึงขอถ่ายภาพเก็บไว้ดู การได้พบเจอบรรยากาศทุ่งนาแบบนี้ ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงทุ่งนาแบบแต่ก่อน การไถนายังใช้ควายในการไถนาแล้วมีคนเดินตาม อีกทั้งการดำนา การดูแลต้นข้าว การเกี่ยวข้าว รวมถึงการตีข้าวทั้งหมดทุกขั้นตอนล้วนใช้คนเป็นหลัก ทำให้เกิดความสามัคคีในชุมชน เกิดการร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ลงแรง ร่วมใจ ภาพจากนักเขียน

จึงทำให้นึกถึงบรรยากาศท้องทุ่งประมาณ 20 กว่าปีก่อน ช่วงที่ข้าวในนายังเขียวขจี เด็ก ๆ ก็จะวิ่งเล่นว่าวกันเพราะเป็นช่วงที่เริ่มมีลมหนาวแล้ว ตกปลากันตามท้องนา หาปูหาหอยมาทำกินกัน ตกตอนเย็นก็พากันใส่เบ็ดหาปลากันตามคันนา พอข้าวแก่ก็จะทำให้ท้องนาเป็นสีเหลืองอร่ามไปทั้งท้องทุ่ง พอถึงเวลาเกี่ยวข้าวก็จะรวมตัวกันของคนที่มีนาข้าวมาช่วยกันเกี่ยวข้าวของนาของคนที่ข้าวสุขก่อน การเกี่ยวข้าวก็เป็นไปแบบสนุกสนานช่วยกันมากกว่าเจ้าของนาที่เป็นเจาภาพก็จะจัดข้าวปลาอาหารมาไว้เตรียมให้คนที่มาช่วยเกี่ยวข้าวกัน ทำแบบนี้ไปจนครบหมดนาของทุกคน หลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จ  ก็จะไปช่วยกันขนข้าวที่เขาเกี่ยวเสร็จที่วางอยู่ตามท้องนาขึ้นรถเข็นที่มี 2 ล้อ เพื่อจะขนข้าวนั้นไปไว้ที่ลานที่เตรียมไว้แล้ว ซึ่งจะมีตาข่ายสีฟ้าปูรองอยู่เพื่อไม่ให้ข้าวที่ตีนั้นตกลงพื้น หลังจากก็จะพากันตีข้าวโดยใช้ไม้หนีบในการตี เจ้าของนาก็จะมีอาหารและเครื่องดื่มมาไว้ให้คนที่มาช่วยงานเหมือนตอนเกี่ยวข้าว

Advertisement

Advertisement

พอตีข้าวเสร็จแล้ว ก็จะเหลือฟางเป็นมัด ๆ บางส่วนจะถูกขนไปไว้ที่คอกวัว คอกควาย เพื่อไว้เป็นอาหารของพวกมัน บางส่วนเด็ก ๆ ก็จะเอามาเล่นกัน ทำเป็นบ้านบ้าง เอามากองรวมกันข้างต้นไม้แล้วกระโดดลงมาเล่นอย่างสนุกสนานตามประสาเด็ก ๆ ทีเด็ดสุด ๆ เห็นจะเป็นไก่อบฟางที่ผู้ใหญ่เป็นคนทำไก่ก็จะเป็นไก่บ้านที่เลี้ยงไว้และวิธีการทำนั้นละเอียดอ่อนพิถีพิถันตั้งแต่การหมักจนถึงขั้นตอนกระบวนการทำให้สุกซึ่งรสชาติยังติดตราตรึงใจ เพราะตอนปัจจุบันนี้มาย้ายมาอยู่ในตัวเมืองทำให้ไม่ได้สัมผัสรสชาติและบรรยากาศเก่า ๆ อีกแล้ว

ส่วนท้องทุ่งนาที่ว่าง ๆ จากการเกี่ยวข้าวไปหมดแล้วนั้น เจ้าของนาบางคนก็ปลูกอย่างอื่นต่อ บางเจ้าของก็ไม่ได้ทำอะไรก็จะเหลือแค่เพียงตอข้าวเต็มไปหมด เด็ก ๆ ก็จะไปวิ่งเล่นกันเพื่อเหยียบให้ตอข้าวนั้นเรียบแบนไปกันพื้นเพื่อจะได้ใช้เป็นสนามกีฬาอเนกประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นสนามตะกร้อ สนามวิ่ง แบดมินตัน และอีกหลาย ๆ ชนิดกีฬา ที่ไม่ได้กล่าว แต่ที่สนุกที่สุดคือ ฟุตบอล

Advertisement

Advertisement

สนามบอล

ที่มา:https://pixabay.com/photos/children-splash-asia-sunset-1822688/

คันนาที่ล้อมรอบจะเป็นเขตสนามพอดี ส่วนเสาประตูนั้นแรก ๆ ก็จะเอารองเท้ามาวางเพราะพวกผมเตะบอลด้วยเท้าเปล่าไม่ต้องใส่รองเท้าอยู่แล้ว เปลือกหอยบาดขาเป็นประจำ ทำให้เท้าด้านพอสมควร และเล่นกันไม่กี่คนหลัง ๆ มาเกิดการวิวัฒนาการขึ้นเพราะมีคนจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาเล่นด้วยจึงทำให้มีการถกเถียงกันเวลายิงลูกสูงกว่ารองเท้า ว่าเข้าหรือไม่ จึงได้แก้ปัญหาโดยการทำประตูขึ้นมา โดยไปตัดไม้ของต้นก้ามปูที่มีลักษณะเป็นง่ามเพื่อมาทำเป็นเสาประตูโดยขุดดินฝังเสาลงไปให้ได้ความสูงที่ใกล้เคียงกันแล้วกลบอัดดินให้แน่น ส่วนคานนั้นไปตัดไม้ไผ่ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน และมีความยาวมากกว่าระยะห่างระหว่างเสาแต่ไม่ให้มากเกิน บางครั้งถ้าที่บ้านใครมีมุ้งเก่า ๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้วก็จะเอามาขึงตาข่ายด้วย เวลายิงเข้าจะได้ความรู้สึกเหมือนได้เล่นในสนามจริงมากขึ้น

Advertisement

Advertisement

ตอนนั้นนอกจากลูกฟุตบอลที่ใช้เตะแล้วพวกเรายังใช้ลูกวอลเลย์บอลเตะแทนลูกฟุตบอลด้วย อารมณ์แบบหาอะไรมาแทนได้ก็จะใช้อันนั้นแหละ ตอนนั้นที่เตะกันใครที่ตัวเล็ก ๆ พวกเราก็มักจะเรียกว่า โอเว่น ใครที่ชอบเล่นลูกตั้งเตะ ก็เป็นเบ็คแคมกันแทบทุกคน กองหน้า ก็โรนัลโด้ ทีมชาติ บราซิล ส่วนผู้รักษาประตูต้อง ปีเตอร์ ชไมเคิล ทีมชาติ เดนมาร์ก หรือ ไม่ก็เป็น เดวิด ซีแมน ของทีมชาติ อังกฤษ ตอนนั้นส่วนมากจะเตะเท้าเปล่ากันเป็นส่วนใหญ่ ส่วนรองเท้าผ้าใบก็มีอยู่นะครับ แต่เป็นรองเท้านักเรียน เอาไว้ใส่ไปโรงเรียนเพราะถ้าเอามาใส่เตะบอลมันจะขาดเร็ว จะโดนแม่ดุเอาได้ ส่วนคนที่พอมีกำลังทรัพย์หน่อยก็จะมีรองเท้าสตัดใช้ ไม่ว่าจะเป็นมือหนึ่ง หรือ มือสองก็เท่าที่แต่ละคนจะหามาได้ แต่ถึงยังไงพวกเราก็สนุกกันได้อย่างไม่มีข้อจำกัด และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเล่นฟุตบอล และหลงรักฟุตบอลมาจนถึงทุกวันนี้

ภาพเกี่ยวข้าว ภาพถ่ายจากนักเขียน

ปัจจุบันนี้คนทำนากันน้อยลง ขายที่นากันหมด ที่นาส่วนใหญ่อยู่กับนายทุนเขาเอาไปทำหมู่บ้านจัดสรรหมดแล้ว ส่วนที่ยังทำอยู่ก็จะเป็นเป็นแบบที่ใช้เครื่องจักเสียเป็นส่วนใหญ่ตามเทคโนโลยีในปัจจุบัน การไถนาก็ไม่ได้ใช้ควายเหมือนแต่ก่อน ใช้รถไถนาแทน การเกี่ยวข้าวก็ใช้รถเกี่ยวข้าว การตีข้าวก็ไม่มี ใช้รถในการแยกข้าวออกจากฟางข้าว   จะหาชมบรรยากาศแบบเก่าๆยากขึ้นทุกที ยิ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในเมืองภาพบรรยากาศแบบนี้หาดูได้ยากยิ่งนัก ถ้าเราไม่ขับรถไปแถวชานเมืองหน่อยคงไม่ได้ดูท้องทุ่ง ท้องนา ไม่ได้มองเห็นทุ่งนาเขียวขจี ไม่ได้เอามือสัมผัสรวงข้าว ไม่ได้กลิ่นของไก่อบฟาง ตอนนี้ที่พอจะเห็นมีเพียงตึกรามบ้านช่อง ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า คาเฟ่ มองกลับมาอีกทีเห็นเพียงเม็ดข้าวสารแล้ว แม้แต่ตอนนี้เด็ก ๆ สมัยใหม่ยังไม่ค่อยได้ไปสัมผัสบรรยากาศท้องทุ่งนาได้เห็นควายตัวเป็น ๆ เลยเห็นแต่ในรูป หรือยูทูบ ถ้ามีโอกาสอีกสักครั้งก็อยากจะให้เด็ก ๆ สมัยใหม่ได้ลองทำนาเผื่อว่าจะได้ประสบการ์ณว่ากว่าจะเป็นข้าวแต่ละเม็ดนั้น ผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง การสัมผัสจริง ๆ มันดีกว่าแค่การเปิดตำราจริง ๆ

ภาพปกจาก https://pixabay.com/photos/field-cereals-summer-sun-sunshine-192179/

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์