เมื่อกล่าวถึงประเทศ Iceland เราก็จะนึกถึงความหนาวเย็น หิมะ และน้ำแข็ง ที่เกาะทางเหนือของทวีปยุโรป แต่ความจริงแล้วอากาศที่ Iceland ไม่หนาวมาก อุณหภูมิตลอดทั้งปีจะอยู่ในช่วง -2 C ถึง +15 C ถือว่าเย็นสบายมาก จึงเป็นเป้าหมายในการท่องเที่ยวของคนไทยหลายๆคน การเดินทางไปIceland ส่วนใหญ่ก็จะบินไปลงที่ยุโรปก่อน เช่น บินไปที่ Amsterdam โดยใช้เวลา 11 ชั่วโมง แล้วบินต่อไปด้วยสายการบิน Iceland Air ไปอีกประมาณ 3 ชั่วโมง Iceland เป็นเกาะเล็กๆที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนด์ติกเหนือ อยู่ระหว่างเกาะ Greenland กับทวีปยุโรป ตั้งอยู่ระหว่างรอยเลื่อนของเปลือกโลกNorth USA Plate กับ Euro-Asia Plate เคยเป็นเมืองขึ้นของเดนมาร์กมาก่อน ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 3 แสนกว่าคน เมืองหลวงซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ชื่อ Reykjavik อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ พื้นที่ส่วนใหญ่ของIceland เป็นที่ราบ มีป่าไม้น้อยมากคือประมาณ 3% ของประเทศ มีหลายคนบอกว่าไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทางที่ Iceland เพราะแค่คุณยืนขึ้นมาก็จะมีคนเห็นคุณแล้วเนื่องจากไม่มีต้นไม้สูงอยู่เลย สถานที่ที่โด่งดังและเป็นสิ่งซึ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ห้ามพลาด ก็คือการไปแช่น้ำแร่ธรรมชาติในทะเลสาปสีฟ้า Blue Lagoon ที่เมืองGrindavik การจะลงไปแช่น้ำแร่ในทะเลสาปนี้ต้องใส่ชุดว่ายน้ำ ถ้าไม่ได้เตรียมไป เขาก็มีให้เช่าทั้งผู้หญิง ผู้ชายค่ะ มีห้องน้ำและล็อคเกอร์ไว้ให้เก็บของส่วนตัวและอาบน้ำ เป็นจำนวนมากโดยจัดเป็นล็อคๆเหมือนกันหมด เราต้องจำล็อคเกอร์ของเราไว้ให้แม่นไม่งั้นต้องเดินวนไปวนมา หากันนานเลยค่ะ Blue Lagoon เป็นทะเลสาปขนาดใหญ่ น้ำเป็นสีฟ้าอ่อน แต่ไม่ใส มีไอน้ำอุ่นๆลอยขึ้นเหนือผิวน้ำสวยงามมาก เดินลงไปในทะเลสาปก็เหมือนเดินในโคลนนิ่มๆเละๆ เราควรจะเดินออกไปสถานที่ที่เขาจัดไว้ ให้เอาโคลนมาทาหน้า ทาตัวกัน ผิวจะได้สวย การแช่น้ำแร่อุ่นๆดีต่อสุขภาพค่ะ ที่Blue Lagoon นี้จะมีผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ทำจากโคลนไว้บริการนักท่องเที่ยว ถ้าพลาดการซื้อที่นี่ สามารถไปซื้อที่สนามบินก่อนกลับก็ได้ค่ะ จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งก็คือ หมู่บ้าน Vik ซึ่งอยู่ทางใต้สุดของIceland อยู่ริมมหาสมุทร มีหาดทรายสีดำ (Black Beach) ซึ่งเกิดจากการสึกกร่อนของหินลาวา และมีแท่งหินที่ตั้งซ้อนกันเป็นแถวอยู่ริมทรายหาด เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่น่ามหัศจรรย์ค่ะ Iceland ยังมีน้ำพุร้อนธรรมชาติ หรือ เกย์ซีร์ (Geysir) ที่โด่งดัง จะพวยพุ่งขึ้นมาทุกๆ 7-10 นาที ซึ่งอาจสูงถึง 30 เมตร อุณหภูมิ 70 C - 90 C น่าแปลกที่น้ำพุจะพุ่งออกมาเป็นระยะๆ อย่างสม่ำเสมอ จับเวลาได้เลยค่ะ น้ำพุร้อนนี้ช่วยให้ความอบอุ่นไปทั่วบริเวณ และรัฐบาลได้นำพลังงานใต้เปลือกโลกนี้ไปใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าส่งไปใช้ทั่วประเทศด้วย ระหว่างนั่งรถไปยังเมืองต่างๆ จะได้ชื่นชมกับทิวทัศน์ข้างทางที่โล่งกว้าง มีบ้านเรือนอยู่เป็นหย่อมๆ มีเนินเขาที่ยังมีหิมะปกคลุมอยู่บ้างในเดือนมีนาคม มีแม่น้ำลำธารใสสะอาด และน้ำตกที่เกิดจากหิมะละลาย มีขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้างที่สามารถจะแวะชมและถ่ายรูปกันได้ตลอดทาง น้ำตกที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของIceland ก็คือ น้ำตกกูลฟอสส์ (Gullfoss) ที่กว้างใหญ่มาก หรือที่เรียกว่าไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ และมีการตกลงไปในหุบเขาด้านล่างที่มีความสูงกว่า 30 เมตร เสียดายที่ช่วงกลางเดือนมีนาคมน้ำตกกลายเป็นน้ำแข็ง เลยไม่ได้ชมพลังอันยิ่งใหญ่ของน้ำตกแห่งนี้ นอกจากธรรมชาติหลากหลายที่สวยงามแล้ว ที่ Iceland ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้สนุกและตื่นเต้น เช่น การล่องเรือชมปลาวาฬ การขับ Snowmobile ไปในลานหิมะ และการได้เห็นแสงเหนือในคืนที่มืดสนิท แต่การได้เห็นปลาวาฬกับแสงเหนือน้้น ไม่สามารถรับประกันว่าจะได้เห็นแน่นอน ต้องแล้วแต่ดวง...คงต้องหาโอกาสไปเที่ยว Iceland อีกครั้งในฤดูกาลที่แตกต่างเพื่อจะได้เห็นธรรมชาติที่มหัศจรรย์อย่างครบถ้วนค่ะ ภาพปก และภาพทั้งหมดในบทความถ่ายโดยผู้เขียน