นักเล่าเรื่องเมืองสยาม SEPHA STRORY TELLER เครดิตภาพปกจาก: เสภาสตอรี่ - ดนตรีวิถีไทย/Facebookเรื่องราวต่างๆ ที่ถูกเล่าผ่านบุคคลผู้สร้างสรรค์ศิลปะการใช้เสียงขับความทรงจำที่ถูกบันทึกไว้ หรือจะเป็นพวกนิทานสอนใจ แต่ก็ต้องมีประโยชน์ที่ควรนำมาบอกให้ผู้ฟังทราบเช่น บอกความยินดีหรือการอวยพร เรื่องราวทั้งหมดนี้ หากอยู่ในรูปของร้อยกรองที่มีคำไม่มากและคล้องจองกันให้มากเข้าไว้ทั้งสัมผัสในและสัมผัสนอก หรือที่เราให้ชื่อว่า กลอน ร่าย กาพย์ ฉันท์ ซึ่งล้วนแต่เป็นรูปแบบของการเขียนบรรยายผ่านโครงสร้างคำซึ่งก็เพื่อให้เกิดความไพเราะ สร้างอารมณ์ กระตุ้นความรู้สึกแบบอลังการจนคาดไม่ถึง แต่จะให้เกิดความสั่นสะเทือนจนหลั่งความไพเราะออกมาจนเต็มที่ นั่นคือการใช้เสียงเล่าเรื่องเครดิตภาพ:โครงการจัดตั้งเสภาสมาคม สำนักสยามเสภานุรักษ์/Facebook เมืองสยามเรานี้มีศิลปะการใช้เสียงที่เรียกกันไพเราะว่า คีตศิลป์ ซึ่งก็มีหลายรูปแบบ หลายประเภท มีทั้งในกรุงและในท้องถิ่น ซึ่งแตกต่างกันก็คือ การถ่ายทอดผ่านสำเนียงภาษาที่ใช้ มีทั้งในพระนครสำหรับ เจ้านาย เชื้อพระวงศ์ ชั้นบรรดาศักดิ์ เพื่อใช้กล่อมสร้างความบันเทิงและรื่นรมย์ กระทั่งกลายเป็นเครื่องแสดงถึงฐานะของชั้นอำนาจยิ่งไพเราะละเมียดละไมและเข้าถึงยากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมาะสมกับความเป็นผู้นำซึ่งหาไม่ได้ในหมู่ชนทั่วไป การขับร้องแบบนี้ในเมืองสยามตั้งแต่ครั้งสุโขทัย อยุธยา ก็มีเพลงที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ขับกล่อมให้เกิดความบันเทิง สำราญใจ และก็ทำให้ครึกครื้นคลายจากความเงียบเหงา เพราะในแต่ก่อนนี้ไม่มีที่บันเทิงเริงรมย์เหมือนกับปัจจุบัน เสียงขับร้องซึ่งนับเป็นดนตรีที่เกิดมาจากมนุษย์ และสามารถทำให้เกิดความไพเราะน่าฟังได้ สิ่งนี้เองทำให้เกิดการใช้เป็นสื่อที่จะส่งเรื่องราวต่างๆที่พิเศษ ในรูปของบทกวีที่คล้องจอง ให้เกิดความรู้สึกที่มากกว่าการพูดปกติ บ่งบอกได้ทั้งอารมณ์เศร้า สนุก รัก และโกรธ ได้ทั้งนั้น นี่เองคือความพิเศษของการใช้เสียงเล่าเรื่องเครดิตภาพจาก : ชมรมนักขับเสภาแห่งประเทศไทย/Facebook ประเทศสยามเรานี้ แต่เดิมตั้งแต่เรามีราชธานีเป็นของเราเองสืบมาจนถึงกรุงเทพเรานี้ เชื่อไหมว่า ชาวสยามไม่เคยขาดความสนุกสนานจากการร้อง รำ ทำเพลง จนทำให้ชาวต่างชาติมักกล่าวถึงชาวสยามว่า เป็นชนชาติที่รักสนุก มักร้องรำทำเพลงอยู่เสมอ นั่นก็เพราะเรามีการสื่อสารกันในแง่ของนันทนาการหรือการบันเทิงเพื่อให้เกิดความเป็นอันเดียวกัน ซึ่งสำคัญมากของความเป็นชนชาติ และในการสร้างความบันเทิงนั้นก็ต้องมีผู้ทำหน้าที่นำความบันเทิง หรือบอกเล่าเรื่องราวให้ผู้คนได้สนุกสนาน ชอบใจและคล้อยตามได้ โดยเฉพาะการเล่าเรื่องหรือเล่านิทานที่ถือปฏิบัติกันมาเป็นประเพณีตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า โดยจะใช้เล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน วรรณกรรมเรื่องเล่าขานที่โด่งดังในสมัยอยุธยา ผู้ขับนั้นจะมีกรับคือไม้สี่ชิ้น ใช้มือถือข้างละคู่ ใช้มือบังคับให้กระทบกันการเล่าเรื่องแบบนี้ เรียกว่า การขับเสภา ภาพจาก : สถาพร เจ้าน้อย ยืนยาว /Facebook คำว่าเสภานี้จะมีมาอย่างไง ทุกวันนี้ยังไม่หาความแน่ชัดไม่ได้ แต่มีผู้เชี่ยวชาญในครั้งก่อนให้ความเห็นที่น่าจะเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับแพร่หลายที่สุด นั่นคือ เสภานั้น อาจมาจาก คำว่า เสวากากุ ซึ่งศัพท์ในภาษาสันสกฤต เป็นรูปแบบการสวดทำนองขอพรพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งฟังดูก็เข้าที่ เพราะเสภาเราก็มีแนวทางการขับไปเพื่อการอ้อนวอน การเข้าหา และอวยพรเจ้านาย ผู้มีอำนาจให้กรุณาเมตตาให้ได้รับความช่วยเหลือซึ่งก็คือ สินจ้างรางวัล ที่ขับให้เกิดความพอใจ นี่เป็นธรรมเนียมเก่าแก่ ทุกวันนี้ก็ยังมีให้เห็น อย่างที่เราไปดูเข้าร้องเพลง เล่นดนตรี และมีธนบัตรคล้องมาลัยไปให้เขาอย่างนี้เหมือนกัน แต่ผู้ขับเสภาหรือที่เรียกกันอย่างโก้เก๋สักหน่อยก็ว่า เป็นนักขับเสภา เขาถือเป็นอาชีพที่รับจ้างได้คือ ต้องมีคนหา คนจ้าง ถึงได้ไปเล่นไปขับ ไม่มีมาขับกันส่งๆหรือโชว์กันดาษดื่น เพราะของนี้เก่าแก่และหายาก ผู้มีวิชามักเก็บไว้และหวงแหน จนทำให้ทุกวันนี้เสภาจึงซบเซาเพราะคนเรียนไว้น้อยเหลือเกิน แต่ก่อนนี้ เวลามีงานบุญสำคัญๆเช่น งานบวช งานแต่ง งานโกนจุก การขึ้นบ้านใหม่ ก็นิยมให้หาเสภามาขับกล่อมและต้อนรับขับสู้แขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน เพราะเสภาถือเป็นของสูงค่า การปรากฏตัวของเสภานี้ จะต้องเป็นเรื่องของความสิริมงคลอย่างมากทีเดียว ในการขับเสภาแต่ละครั้งนั้น นักขับเสภาก็ต้องถามเจ้าภาพว่าจะให้เล่นตอนไหน พอตกลงกันได้ก็ ต้องวางตัวว่าจะขับกันกี่คน ใครขับเป็นตัวอะไรในเรื่องขุนช้างขุนแผน เขาทำกันอย่างนี้มาตลอดจนมาถึงครั้งสมัยต้นกรุงเทพเรานี้ เสภามีพันธมิตรสำคัญที่ดูเหมือนจะมาเป็นเพื่อนเกลอกับเสภาอย่างจะทิ้งกันไม่ลงแล้ว นั้นคือ ปี่พาทย์ การประสมปี่พาทย์เข้ากับการขับเสภานี่ นักขับเห็นจะต้องชอบใจ เพราะขับกันไปยาวๆแล้วเสียงจะแหบแห้ง ก็ได้อาศัยปี่พาทย์ทำเพลงนั้นออกเพลงนี้ ให้ได้ร้อง รับ ขับต่อ พอหายใจหายคอบ้าง เสภากับปี่พาทย์ผูกพันกันเหมือนสหาย เสภาทำให้ปี่พาทย์เองต้องปรับบางอย่างเพื่อให้เสภาเดินได้สบายในสายดนตรี เช่นการเปลี่ยนตะโพนเป็นกลองสองหน้า ที่เข้าทีกว่า และทำเพลงพิเศษให้การแสดงเสภาดูมีเอกลักษณ์และใช้สำหรับการประลองออกตัวเสภา อย่างที่เราเรียกกันจนติดปากว่า รัวประลองเสภา และจากนั้นนักขับเสภาก็ได้เป็นนักร้องเพิ่มขึ้นอีกตำแหน่ง โดย ธรรมเนียมการขับเสภาส่งเครื่องนั้น โบราณท่านวางเพลงที่ให้นักขับเสภาร้องสลับกับการขับเสภาคือ พม่าห้าท่อน สามชั้น จระเข้หางยาว สามชั้น สี่บท สามชั้น และบุหลัน สามชั้น และจะลาจากด้วยด้วยเพลงลา จะเป็นอกทะเลหรือกราวรำก็ตามที นี่คือการพัฒนาเพื่อรับความเจริญของสังคมที่ต้องการจะได้รับสิ่งที่ดีกว่าอยู่เสมอ จากการที่เสภาเป็นเพลงเสียงคนขับร้องบอกเรื่องราวตามทำนองประกอบกับ ก็เป็นการมหรสพ ที่ดูเหมือนจะลดทอนความสำคัญของการเล่าเรื่องนั้นไป แต่เพิ่มความงามที่แปลกใหม่ลงไปจนวิจิตรพิสดารเป็นมหรสพที่เชิดหน้าชูตาของวงการดนตรีไทยเรามาจนถึงทุกวันนี้ ภาพจาก : วงปี่พาทย์เสภา/wikipedia และแม้ว่าเสภาจะกลายเป็นตัวเอกหรือประกอบก็ตาม แต่เสภายังคงเป็นคำที่มีมนต์ขลังทำให้มองสะท้อนเข้าไปได้จนถึงอดีต ว่า เสภานี้คือสิ่งที่บรรพชนไทยเคยรู้จักกันว่าเป็นการเล่าเรื่องราวของมิติต่างๆทางสังคมและสื่อสารในกลุ่มชนจนไปถึงเจ้านาย ท้าวพระยา ก็ยังต้องได้ไปหาฟังทีเดียว ยิ่งใหญ่ดังที่ท่านได้ทราบกันมาแล้ว ดูไปแล้วก็อาจพูดได้ว่า เสภา คนครั้งนั้นไม่ได้ฟังนี่เห็นจะตกยุคกระมัง อัปเดตบทความสนุกๆ ดูหนัง ฟังเพลง และซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !