นับตั้งแต่ไวรัสโคโรน่าได้เริ่มระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อช่วงสิ้นปี 2019 จนถึงปัจจุบันนี้สถานการณ์ก็แย่ลงอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขผู้ติดเชื่อเพิ่มขึ้นในทุก ๆ วันอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันคาดว่ามีผู้ติดเชื้อรวมทั้งหมดทั่วโลกเกือบแสนคนแล้ว โควิด-19 ถือเป็นภัยทางความมั่นคงต่อทุกประเทศ เป็นโรคระบาดครั้งยิ่งใหญ่ต่อพลเมืองในทุกประเทศเพราะมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและสามารถแพร่จากคนสู่คน โดยโรคโคโรน่าได้ทำการเปลี่ยนชื่อเป็น "โควิด-19" โดย องค์กรอนามัยโลก (WHO) การรับมือต่อโควิด-19 ที่เกาหลีใต้ ขอขอบคุณภาพจาก https://unsplash.com/photos/G-eeqE98NLk เกาหลีใต้ก็ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ตัวเลขคนติดเชื้อพุ่งสูงอย่างหนักแบบไม่ทันตั้งตัว โดยเกาหลีใต้นั้นมีนโยบายยกระดับการเตือนภัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นระดับสูงสุด โดยในเกาหลีขณะนี้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อ 2 พันกว่าคนและคาดว่าจะสูงขึ้นอีก และต้นตอการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มจากเมืองแทกู โดยเชื่อมโยงกับกลุ่มนิกายชินชอนจี ในวันที่ 23 ก.พ นายมูน แจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ประกาศยกระดับการเตือนภัยสถานการณ์เป็นระดับสูงสุด และมีการแจงสถานการณ์ข่าวสารให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงแบบ Real Time และมีการกรองข้อมูลข่าวสารและ Fake New อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารจริงและเตรียมตัวรับมือได้ทันต่อสถานการณ์ การรับมือต่อโควิด-19 ที่มิลาน อิตาลี ขอขอบคุณภาพจาก https://unsplash.com/photos/1xT5Yz2Am0M อิตาลีก็ถือเป็นเมืองที่มีผู้ติดเชื้อสูงหลักหลายร้อยคน โดยวันที่ 23 ก.พ มีรายงานว่าเทศบาลเมืองมิลานมีคำสั่งระงับการเรียนการสอนตามโรงเรียนชั่วคราวซึ่งนายวอลเตอร์ ริกกิอาร์ดี เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก ( WHO ) ในอิตาลี ระบุว่าอิตาลีตัดสินใจผิดพลาดที่ไม่ใช้มาตรการกักบริเวณผู้ที่เดินทางจากจีน และรัฐบาลยังมีคำสั่งให้ชาวอิตาลี เลี่ยงพื้นที่สาธารณะทุกแห่ง เพื่อความปลอดภัยต่อตนเอง การรับมือต่อโควิด-19 ที่ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ขอขอบคุณภาพจาก https://unsplash.com/photos/abDXwdctAI4 ญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินที่ "ฮอกไกโด" โดยออกคำสั่งให้ทุกคนอยู่ภายในบ้าน เนื่องจากการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วภายในญี่ปุ่น จึงทำให้ นายโอมิชิ ซูซูกิ ผู้ว่าราชการจังหวัดฮอกไกโดได้ออกคำสั่งประกาศภาวะฉุกเฉินในวันที่ (28/02/2563) โดยขอให้ประชาชนอยู่แต่ภายในบ้านหรืออาคารในช่วงสุดสัปดาห์ เนื่อจากไวรัสโควิด-19 ได้แพร่ระบาดอย่างหนักในเกาะฮอกไกโด โดยรายงาน ณ วันที่ 28/02/2563 มีผู้ติดเชื่อที่ได้รับการยืนยัน 66 ราย ในฮอกไกโด โดยผลพวงที่ทำให้ผู้ติดเชื่อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ฮอกไกโด เพราะที่นั้นมีอากาศหนาวและเชื้อตัวนี้จะมีชีวิตในสถานที่ ๆ มีอากาศหนาวได้เป็นอย่างดี การรับมือต่อโควิด-19 ที่ประเทศจีน ขอขอบคุณภาพจาก https://unsplash.com/photos/4I6VHLP5Ws4 สถานการณ์การติดเชื้อที่รุนแรงมากที่สุด ก็คงจะตกเป็นของประเทศต้นทางหรือประเทศจีน โดยประชาชนที่ติดเชื้อรวมทั้งสิ้นหลายหมื่นคนและเสียชีวิตแล้วกว่า 2 พันคน จึงทำให้สถานการณ์ที่จีนค่อนข้างหน้าเป็นห่วงมากที่สุด โดยจีนมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน แต่ทางการจีนก็มีนโยบายออกมาเพิ่มควบคุมสถานการณ์อยู่เรื่อย ๆ การควบคุมสถานการณ์ในจีนค่อนข้างที่จะลำบาก เพราะการแพร่กระจายนั้นเป็นวงกว้างมาก และนักวิจัยจีนก็พยายามคิดค้นตัวยาเพื่อต้านเชื้อไวรัสตัวนี้แต่จะสำเร็จเมื่อไหร่นั้นก็ต้องติดตามกันต่อไป จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่เลวร้ายและรุนแรงที่สุดในตอนนี้ แต่ละประเทศก็จะมีนโยบายการรับมือที่แตกต่างกันไม่มากนัก โดยประชาชนจำเป็นที่จะต้องมีส่วนร่วมและมีส่วนรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคม โดยควรจะปฏิบัติตัวดังนี้ ประชาชนต้องมีสติให้มาก หวาดกลัวได้ วิตกได้ แต่อย่าตีโพยตีพายเมื่อสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ ประชาชนจำเป็นต้องปฎิบัติตัวตามนโยบายของรัฐอย่างเคร่งครัด เมื่อรู้สึกว่าตัวเองอาจจะมีอาการของโรคควรไปตรวจที่โรงพยาบาล และจำเป็นที่ต้องแจ้งประวัติการเดินทางร่วมด้วยถ้าเดินทางไปต่างประเทศมา ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับควรคัดกรองและเมื่อเกิดสถานการณ์จริงเกิดขึ้นกับตัวเราจำเป็นต้องมีสติอย่างมาก โดยหลังจากดูแนวทางการรับมือของประเทศที่ติดเชื้อลำดับต้น ๆ ของโลกแล้ว อยากเตือนให้ประชาชนคนไทยตื่นตัวและรับข่าวสารให้หลากหลาย และคัดกรองข่าวสารอย่างรอบคอบ และป้องกันการติดเชื้อเบื้องต้นโดยการสวมใส่หน้ากากอนามัยและใช้เจลล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อโรคทุกครั้ง และในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นทุกคนควรจะตื่นตระหนกกับสถานการณ์ แม้มันจะฟังดูมากเกินไปกับยอดผู้ติดเชื้อของไทย แต่เราไม่สามารถที่จะคาดเดาอนาคตข้างหน้าได้ว่ามันจะพุ่งขึ้นแบบเกาหลีหรือญี่ปุ่นไหม ดังนั้นป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัดมันจะเป็นผลดีต่อตัวเราอย่างมาก และเราทุกคนก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าในอนาคตสถานการณ์จะเลวร้ายมากไปกว่านี้หรือไม่