อยู่ๆบรรยากาศฝนพร่ำ ก็ทำให้เราคิดถึงที่เที่ยวน่าสุดประทับใจขึ้นมา เลยหยิบยกประสบกาณ์มาเขียนเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกัน เพื่อใครอยากเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปเที่ยวแบบ(พวก)เราเอาหล่ะค่ะ พร้อมเดินทางกันหรือยัง...จำได้ว่าเดือนสิงหา ปี 61 เราและกลุ่มแก๊งค์เพื่อนๆร่วมประมาณ 12 ชีวิต ได้เดินทางไปเที่ยวที่ จ.น่าน การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน วันแรกของการเดินราวๆ 6 โมงเย็น พวกเราทั้งหมดนัดรวมตัวกันที่ "สมบัติทัวร์" ขนส่งที่ตั้งอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อออกเดินไปสว่างที่ อ.ปัว การเดินทางครั้งนี้ของเราถือว่าทรหด และทรมานพอสมควร เนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่พร้อม แต่ใจไม่ถอยนะบอกเลย หลังประกาศเรียกขึ้นรถเราก็อัดยาแก้แพ้ พาราเซตามอน และพร้อมนอน เจอกันนะน่าน!!! *น่าเสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพบรรยากาศบนรถไว้ให้ได้ชมกันนะคะ ขอบรรยายแทนหล่ะกัน รถที่เรานั่งเป็นแบบ VIP แบ่งเป็น 2 แถว ซ้าย 1 ที่นั่ง และ ขวา 2 ที่นั่ง ด้านหน้าเราจะมีจอทีวีไว้ให้เลือกดูหนัง ฟังเพลง สามารถเชื่อมต่อ USB เพื่อซิงค์ข้อมูลจากอุปกรณ์ไอทีของเราได้ด้วย ก่อนออกเดินทางเจ้าหน้าที่จะเดินตรวจตั๋ว แจกผ้าห่ม แจกน้ำและขนม ในระหว่างทางจะมีจุดแวะพักทานอาหาร ถือว่าดีงาม สะดวกสบายใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ และแล้วหลังจากผ่านไป 12 ชม (โดยประมาณ) เวลาราวๆ 06.00 - 07.00 น. ของเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราก็มาถึงที่ขนส่ง อ.ปัว บรรดาสาวๆก็ล้างหน้าล้างตา จัดเมคอัพกันเพื่อเตรียมตัวแชะภาพ ส่วนการเดินทางต่อจากนี้เราจ้างรถสองแถวเดินทางต่อภายในอำเภอค่ะ เอาหล่ะ...ก่อนตะลอนทัวร์ขอชาร์ตพลังกันก่อนนะ โดยที่แรกที่พวกเรามาแวะกันก็คือที่ "ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ" ตั้งอยู่ที่ อ.ปัว จ.น่าน บรรยากาศภายในร้านมีมุมน่ารักๆ ทั้งส่วนที่ตกแต่งด้วยผ้าทอ จากร้านลำดวนผ้าทอ มุมกระท่อมปลายนา ให้ถ่ายรูปชิคๆ ไม่รอช้าสั่งกาแฟร้อนๆมาจิบ ดื่มด่ำบรรยากาศทุ่งนาเขียวขจีวิวภูเขา และนาข้าวเขียวขจี ให้ความรู้สึกสดชื่มชุ่มฉ่ำหลังพายุฝนสงบหนึ่งแลนด์มาร์คหลักในร้าน ที่ทุกคนต้องมาถ่ายภาพ มุมถ่ายภาพที่มีฉากหลังเป็นผ้าทอไทลื้อ จากร้านลำดวนผ้าทอ เก็บบรรยากาศกันพอสมควรแก่เวลาพวกเราทั้งหมดเดินทางต่อไปที่ "วัดภูเก็ต" ตั้งอยู่ที่ อ.ปัว จ.น่าน เพื่อไหว้พระขอพรเอาฤทธิ์เอาชัยกันสักหน่อย ที่วัดภูเก็ตแห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐาน "หลวงพ่อแสนปัว" หรือ "หลวงพ่อพุทธเมตตา" ที่ด้านหลังวัดมีเขตอภัยทาน ที่จุดนี้จะมีท่อให้นักท่องเที่ยวให้อาหารปลา มองออกไปจากมุมบนด้านหลังของวัดจะเจอนาข้าวเขียวขจี และร้าน "ตูบนาไทลื้อ และตูบนากาแฟ" เราใช้เวลาที่นี้ไม่มากนัก เนื่องจากเรามีภารกิจที่ต้องไปพิชิตต่อหลวงพ่อแสนปัว หรือ หลวงพ่อพุทธเมตตา ที่ประดิษฐานอยู่ภายในโบสถ์วัดภูเก็ตตูบนาไทลื้อ และตูบนากาแฟ จากมุมด้านหลังวัดภูเก็ตหลังจากเที่ยวภาคพื้นกันพอประมาณ พวกเราทั้งหมดก็ขึ้นรถสองแถวเดินทางต่อไปที่หมู่บ้านสันเจริญเพื่อเตรียมตัวขึ้นไปนอนกันบนเขา เอาหล่ะค่ะ กิจกรรมแอดเวนเจอร์ สุดตราตรึงใจของเรา อยู่ตรงนี้แหละคร่าาา.... โดยปกติแล้วในการเดินทางขึ้นไปพักที่โฮมสเตย์บนดอยนั้น ทางหมู่บ้านจะมีรถบริการนักท่องเที่ยวขึ้นไปส่งยังที่พัก หรือจนถึงยอดดอย แต่เนื่องจากช่วงที่พวกเราไปดันเป็นช่วงที่พายุได้เขาไทยหนักมาก จึงทำให้ทางขึ้นดอยกลายเป็นดินเลนลื่น ซึ่งรถจะขึ้นไปส่งเราได้ในระยะหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือคือพวกเราต้องเดินเท้ากันขึ้นไปสภาพเดินขึ้นดอนชิวๆ เหมือนเดินชมสวนหลังบ้าน เหล่าผู้กล้าทั้งหลายไปค่ะ กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้ เดินขึ้นไปที่พักกันเถอะ สิริรวมระยะทางจากจุดที่รถจอดส่งจนถึงที่พักราวๆ 4-5 กิโล โฮมสเตย์บนดอยสวนยาหลวง ที่พักของเราค่ำคืนที่ 2 (คืนแรกบนรถทัวร์ไง) หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินขึ้นดอย เราก็มานั่งกินลมชมวิว จิบกาแฟสดคั่ว (ของดีบนดอยสวนยาหลวง เป็นกาแฟที่ชาวบ้านปลูกไว้บนดอย) ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้นำกาแฟ พร้อมเครื่องคั่นกาแฟสด มาให้เราได้คั่ว ชง ชิม กันสดๆ ซึ่งส่วนตัวเราประทับใจกับกาแฟที่นี่ เพราะเป็นกาแฟรสชาตินุ่มๆ กลิ่นไม่แรงมาก (แอบเสียใจที่ไม่ได้ซื้อกลับมาด้วย)จิบกาแฟบนยอดดอย มองทะเลหมอก หลังพายุผ่านไป สำหรับอาหารการกินที่โฮมสเตย์ ก็จะเป็น Local Food วัตถุดิบส่วนใหญ่ก็เป็นวัตถุดิบที่หาได้ในชุมชน เช่น ยอดฟักทอง ยอดฟักแม้ว หมู ไก่ **พ่อครัวก็คือเจ้าหน้าที่ๆดูแลเรานั่นแหละค่ะ ที่จัดการปรุงรสอาหารทั้งหมด ให้เราได้มีกับข้าวอร่อยอิ่มหน่ำสำราญอาหารบนดอย เรียบง่ายแต่อร่อยทุกเมนู หลังมื้อเย็นเราก็เซฟแรงไว้เดินขึ้นดอยต่อพรุ่งนี้ทันที เพราะจะต้องเริ่มออกเดินกันแต่ย่ำรุ่ง ระยะทางไป-กลับก็ราวๆ 10 หรือ 20 กิโล เอ๊งง... ตามคำบอกกล่าวของเจ้าหน้าที่ เราก็ต้องมาลุ้นอีกทีว่าเราจะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นกันไหม ราตรีสวัสดิ์ zzZZ เช้าวันรุ่งขึ้นประมาณ 04.30 น. ตามเวลานัดหมาย พวกเราทั้งหมดพร้อมอาวุธประจำตัว ก็คือ “ไฟฉาย” ก็เริ่มออกเดินทาง ช่วงที่เดินขึ้นเขาเนื่องฟ้ายังมืดอยู่ ระหว่างทางฝนโปรยปรายเป็นระยะ ทำให้ดินที่ถูกฝนชะมาทั้งคืนค่อนข้างลื่น เส้นทางนี้เป็นอย่างไร คือไม่รู้เลย จำได้เพียงเละมากค่ะ คนอื่นเป็นอย่างไรเราไม่ทราบ แต่ตัวเราหลังจากเดินได้สักพัก รองเท้าไม่อำนวยค่ะ ถอดทิ้งไว้กลางทาง เดินเท้าเปล่าขึ้นไปจนถึงยอดดอยกันเลยทีเดียว ขึ้นถึงยอดดดอยสรุปโชคไม่เข้าข้างเราเท่าไหร่ เมฆหมอกหนา จนไม่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ค่ะ แต่ไม่เป็นไรเก็บเกี่ยวธรรมชาติระหว่างทาง และอย่างน้อยเราก็ได้มาเที่ยวถึง 2 จังหวัดในครั้งเดียวเลยนะ เพราะบนยอดดอยนั่นแบ่งเป็นจุดแบ่งกันระหว่าง จ.น่าน และ จ.พะเยาพระพุทธรูปปรางประทานพร ที่ประดิษฐานอยู่บนดอยสวนยาหลวงเหล่าผู้กล้าพิชิตดอยสวนยาหลวง หลังจากดื่มด่ำเมฆหมอก ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันพอประมาณ เวลาประมาณ 08.00 น. ผูกธงเคารพธงชาติกันเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินลงดอยกับมาที่พักแล้วหล่ะ ซึ่ง ณ ช่วงเวลานี้เองสำหรับเราถือว่าทรมานสุดๆ เนื่องจากแดดเริ่มออก เส้นทางที่เราเดินขึ้นมาเริ่มแห้งแล้ว ทำให้หินลูกรังชัดขึ้น (โอ้..แม่เจ้าทางที่เราเดินขึ้นมาหน้าตามันเป็นแบบนี้เองหรอ ระบมเลยค่ะ เท้าระบมเลยค่ะ)เพราะทุกที่คือรันเวย์ เดินประหนึ่งนางแบบยอดดอย กลับถึงที่พัก ก็เก็บสัมภาระ และแล้วก็ได้เวลาลงดอยไปเข้าเมืองกันแล้วหล่ะคะ บะบายดอยสวนยาหลวงเราจะคิดถึงเธอนะเละยันจากกันเลยนะเนี่ย หลังลงจากดอย ราวๆช่วงบ่ายคล้อย พวกเราก็มาถึงในตัวเมือง ซึ่งเพื่อนในทริปก็จองเข้าพักที่โฮมสเตย์ "ห้องสมุด บ้านๆน่านๆ" ที่โฮมสเตย์บ้านๆ น่านๆ ลักษณะเป็นบ้านพักอาศัย แล้วแบ่งชั้นบนให้เป็นที่พักมี 1 ห้องนอนเล็ก(มีห้องน้ำในตัว) และ 2 ห้องใหญ่ ที่ใช้ห้องน้ำรวมกันด้านนอก แต่ครั้งนี้ดีที่แก๊งค์พวกเราเหมาหลัง (ใช้กันได้ตามอัธยาศัย)ที่โฮมสเตย์ก็จะมีส่วนของร้านกาแฟอยู่ด้านหน้า มีหนังสือ และมุมให้นั่งอ่าน สมคำว่า "ห้องสมุด" ค่ะ...เครื่องดื่มเย็นๆ ที่ร้านกาแฟหนังสือ บ้านๆน่านๆ ช่วงเย็นก่อนโปรแกรมวันรุ่งขึ้นพวกเราไปหาของกินกันที่ตลาดหน้าวัดภูมินทร์ ระหว่างทางก็เจอมุมน่ารักๆ ให้ถ่ายรูปไม่รอช้าสิค่ะ เก็บภาพดูเก๋ไก๋ อาร์ตๆดี (ร้านปิดแล้ว) โปรดดูป้าย คริๆๆ เช้าวันใหม่พวกเราก็เริ่มเที่ยวในตัวจังหวัดกัน เนื่องจากน่านเป็นจังหวัดที่มีตัวเมืองไม่ใหญ่มาก สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นวัดวาอาราม ที่ไม่ไกลกันมากนัก การท่องเที่ยวภายในตัวเมืองน่านก็ใช้วิธีเดิน หรือปั่นจักรยาน เที่ยวชมได้รอบ ชีวิตเนิบนาบตะตอนยอนมากค่ะ การมาเที่ยวน่าน แน่นอนเราจะลืมจุดเช็คอินหลักไม่ได้นั่นก็คือ "วัดภูมินทร์" ที่ขึ้นชื่อว่ามีอุโบสถที่แปลกกว่าวัดอื่นๆ ที่เรียกกันว่า "พระอุโบสถจตุรมุข" และภาพจิตรกรรมฝาผนังในวิหารที่แสดงถึงวิธีชีวิตของผู้คน แต่ที่กล่าวถึงกันมากที่สุดเห็นจะเป็น ภาพวาดกระซิบรักบันลือโลก "ปู่ม่านย่าม่าน" แก๊งค์เด็ก(หน้า)วัด ณ วัดภูมินทร์"คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมย ซอนดาวลงมาคะลุมจักเอาไว้ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส้แล้วลู่เอาไปก็เลยเอาไว้ในอกในใจตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันให้อะฮิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา.."ซุ้มดอกลีลาวดี ปั่นจักรยานต่อไปที่ "วัดช้างค้ำ" อยู่ตรงข้ามกับหอคำ เพื่อสักการะ "พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี" องค์สีทองอร่าม อีกหนึ่งแลนด์มาร์ค และเป็นสถานที่ๆได้ชื่อว่าเป็นพระธาตุประจำปีเกิด ของคนปีเถาะ หรือกระต่าย ต้องมาก็คือ "วัดพระธาตุแช่แห้ง" ที่มีองค์พระธาตุสีทองเหลืองอร่ามถึงเวลาต้องกลับ กรุงเทพฯ เมืองศิวิไล แล้วสินะ บะบาย เมืองน่าน เมืองเล็กๆอันเงียบ สงบ เนิมนาบตะตอนยอน แต่ตราตรึงใจไว้ไม่รู้ลืม ไว้มีเวลาจะกลับมาเที่ยวใหม่ // I LOVE NAN //ภาพถ่ายและภาพประกอบทุกภาพโดยผู้เขียน