สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านครับ สำหรับช่วงปลายปีและในเวลาที่การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเป็นปกติแบบนี้ การออกเดินทางไปยังต่างแดน คงเป็นอีกหนึ่งความสุขในการหาประสบการณ์ของใครหลายๆคน ซึ่งหนึ่งในขั้นตอนของการเดินทางก็คือการซื้อตั๋วเครื่องบินนั่นเอง สำหรับการบินแล้ว เราจะพบว่า การบินไปยังจุดหมายมันถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ไฟลท์บินตรง และไฟลท์ที่ต้องเปลี่ยนเครื่อง ไฟลต์แบบไหนดีกว่ากัน คุ้มกว่ากัน การเปลี่ยนเครื่องจะเหมือนต่อรถเมล์ไหม เรามาเปรียบเทียบกันเลยดีกว่าครับ1. ไฟลท์บินตรง ความหมายตรงตัวชัดเจนครับ คือไฟลท์ที่เครื่องจะบินตรงไปยังจุดหมายปลายทาง แต่จริงๆแล้วจะแบ่งย่อยได้อีกสองชนิด คือการบินตรงแบบ Direct Flight และ Non stop flight ครับNon stop flight คือไฟลท์ที่บินตรงดิ่งไปยังจุดหมายปลายทาง โดยไม่มีการแวะที่ไหนเลย นี่คือไฟลท์บินตรงปกติที่เรารู้จักกันครับ ส่วน Direct flight จะมีรายละเอียดเพิ่มมาเล็กน้อยDirect Flight ก็คือไฟลท์ที่บินตรงไปยังปลายทางเหมือนกันครับ เพียงสำหรับ Direct flight จะมีการจอดในระหว่างทาง เพื่อรับผู้โดยสารเพิ่มหรือจอดเติมน้ำมันครับ แต่เลขไฟลท์จะเป็นเลขเดิม และผู้โดยสารไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องครับ รออยู่ในเครื่องเสร็จก็บินต่อได้เลย ท่านผู้อ่านจินตนาการเป็นเหมือนการขึ้นรถเมล์ก็ได้ครับ ที่จะแวะจอดตามป้ายรับผู้โดยสารเพิ่ม แต่เราก็ไม่ต้องทำอะไร ใช้ตั๋วรถเมล์เดิมและไม่ต้องลงจากรถ (แต่ Direct flight ไม่ได้แวะเป็น 10 ป้ายแบบรถเมล์นะ) Direct Flight จะพบในทางฝั่งยุโรปและอเมริกาที่ผู้คนนิยมเดินทางโดยเครื่องบินเป็นหลักครับ สำหรับข้อดีข้อเสียการไฟลท์แบบบินตรงก็จะเป็นประมาณนี้ครับ ข้อดี ประหยัดเวลาในการเดินทาง เหมาะสำหรับผู้มีเวลาจำกัดและต้องการถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด ไม่ต้องลงจากเครื่องหลายครั้ง นั่งยาวจนถึงจุดหมายเลย โหลดกระเป๋า และผ่านด่านตรวจต่างๆเพียงครั้งเดียว ลดความวุ่นวาย ข้อเสียพื้นฐานแล้ว ตั๋วไฟลท์บินตรงจะมีราคาสูงกว่าการนั่งขดบนเครื่องบินยาวๆ ไม่ดีต่อสุขภาพขาเท่าไหร่นัก (โดยเฉพาะสำหรับการนั่งชั้น Economy) 2. ไฟลท์แบบเปลี่ยนเครื่อง เมื่อท่านกำลังจองตั๋วเครื่องบิน และเจอคำว่า Layover หรือ Connecting flight ก็ให้เข้าใจได้ทันทีเลยว่า ในไฟลท์นั้น เราจะต้องลงจากเครื่องเพื่อไปขึ้นเครื่องลำใหม่ ก่อนจะไปถึงปลายทางครับ ซึ่งไฟลท์ที่ผู้โดยสารจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องนั้นแบ่งออกเป็นสองเคสครับปลายทางอยู่ไกล ไม่เป็นที่นิยม จึงไม่มีสายการบินที่ให้บริการบินตรงจริงๆ เช่น จากไทยไปอเมริกาใต้ อเมริกากลาง ยุโรปตะวันออก หรือส่วนใหญ่ของแอฟริกา ปลายทางอยู่ใกล้ แต่ต้องเดินทางไปเปลี่ยนเครื่องที่ ฮับของสายการบินนั้นคราวนี้เรามารู้จักกับ ฮับกันนิดนึงครับ ฮับ (Hub) ก็คือฐานปฎิบัติการของสายการบินครับ โดยแต่ละสายการบินจะมี Hub ของตัวเอง ซึ่งตั้งอยู่ตามสนามบินต่างๆครับ เช่นการบินไทย มีฮับอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สิงคโปร์แอร์ไลน์ มีฮับอยู่ที่สนามบินชางงี สิงคโปร์อีวาแอร์ มีฮับอยู่ที่สนามบินเทายวน ไต้หวันเจแปนแอร์ไลน์และออลนิปปอน แอร์เวย์ มีฮับอยู่ที่สนามบินนาริตะและฮาเนดะ ญี่ปุ่น โคเรียนแอร์ มีฮับอยู่ที่สนามบินอินชอน เกาหลีใต้ โดยไฟลต์เปลี่ยนเครื่อง จะพาผู้โดยสารมาเปลี่ยนเครื่องที่ ฮับของสายการบินนั้นๆเสมอครับ เช่น หากเราจองตั๋วไปญี่ปุ่น ของสายการบินสิงคโปรแอร์ไลน์ ย่อมแปลว่า เราจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินชางงี ซึ่งเป็นฮับของสิงคโปร์แอร์ไลน์ก่อนครับ เขาก็จะพาผู้โดยสารที่ต้องการไปญี่ปุ่นจากประเทศอื่นมารวมกันที่นั่น แล้วบินไปญี่ปุ่นทีเดียว หรือถ้าไปยุโรปด้วยบริการสายการบินแขกทั้งหลายอย่าง กาตาร์แอร์เวย์ หรือ เอมิเรต ก็ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ กาตาร์ หรือ UAE ซึ่งเป็นฮับของสายการบินเหล่านั้นครับ (ยิ่งโซนตะวันออกกลางอยู่ครึ่งทางระหว่างระหว่างยุโรป-เอเชียพอดี ทำเลดีสุดๆ สายการบินแขกถึงได้เจริญๆเอาๆนี่แหละครับ) ด้วยเหตุนี้เอง ไฟลท์ที่บินตรง จึงมีอยู่สองแบบ คือ ไฟลท์ของการบินไทย (เพราะขึ้นที่สุวรรณภูมิ ฮับของการบินไทย ไม่ต้องไปแวะที่ไหนอีก) หรือไม่ก็ ไฟลต์สายการบินของประเทศปลายทางที่เราจะไปครับ (เพราะเขาจะพาตรงไปฮับที่ประเทศเขาอยู่แล้ว)คราวนี้ เรามาดูข้อดีข้อเสียกันครับ ไฟลท์แบบเปลี่ยนเครื่องก็จะตรงกันข้ามกับไฟลท์บินตรงเลยก็คือ ข้อดีราคาค่อนข้างถูกกว่าไฟลท์บินตรงได้เบรคยืดเส้นยืดสาย ระหว่างการเดินทาง ช้อปปิ้งหรือเดินเล่นในสนามบินที่รอเปลี่ยนเครื่องได้ (หากเวลาพอและไม่ติดเรื่องวีซ่า สามารถลงไปเที่ยวประเทศนั้นได้เลย)ให้ความรู้สึกเหมือนได้มาเที่ยวหลายประเทศ (เหยียบแค่สนามบินก็เอา)ข้อเสียใช้เวลาในการเดินทางนาน อาจไม่เหมาะกับผู้มีเวลาน้อย (และอาจทำให้ล้าจนเที่ยวไม่สนุกได้)ในบางกรณี อาจต้องไปรับกระเป๋าเพื่อนำไปโหลดใหม่อีกรอบ (ไม่เสมอไป แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละไฟลต์ครับ)หากเวลากระชั้นชิดเกินไป อาจหลงทางหาเกทไม่เจอ จนตกเครื่องได้ (การเปลี่ยนเครื่อง ควรเผื่อเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงครับ) สรุปแล้ว ไฟลท์ทั้งสองประเภทนี้ มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะเป็นข้อดีหรือข้อเสียหรือไม่ เป็นสื่งที่ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจริงๆครับ เช่น การเปลี่ยนเครื่อง คนที่อยากถึงเร็วๆก็จะบอกว่าแบบนี้ดี แต่คนอยากพักยืดเส้นยืดสายบ้างก็จะบอกว่าไม่ดี หากสำหรับผมคงจะตอบว่า การบินตรง เนื่องจากช่วยประหยัดเวลาถึงที่หมายเร็ว และโดยส่วนตัว ผมไม่มีปัญหาอะไรกับการนั่งเครื่องนานๆ (ไฟลท์นานที่สุดที่ผมเคยนั่งคือ 14 ชั่วโมง ซึ่งผมรู้สึกแค่เหมือนนั่งๆนอนๆ ลุกไปห้องน้ำ กินข้าว ดูหนัง 3-4 เรื่องก็ถึงแล้ว) และสิ่งที่ผมไม่ชอบสำหรับการเปลี่ยนเครื่องคือ ถ้าหิวในระหว่างที่รอเปลี่ยนเครื่องในสนามบินละก็ งานนี้เงินเตรียมละลายครับ เพราะอย่างที่เราทราบกันว่าอาหารในสนามบิน ราคาจะถูกอัพขึ้นขนาดไหน (และคุณภาพมักไม่ได้อัพตามด้วยนี่แหละ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คำตอบของผมมันก็มาจากตามสภาพและวัยของผม ณ ตอนนี้ครับ ผมไม่มีปัญหาสุขภาพอะไรกับการนั่งเป็นเวลานาน แต่ถ้าเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่าต่างๆ การนั่งเครื่องบินนานๆคงไม่เหมาะเป็นแน่ การบินแบบเปลี่ยนเครื่อง เพื่อได้มีเวลาพักยืดเส้น ก็อาจจะตอบโจทย์มากกว่าแทนครับ หรือถ้าไม่ซีเรียสกับเรื่องเวลา มองว่าเปลี่ยนเครื่องเป็นส่วนหนึ่งของการเที่ยวไปแล้ว การเปลี่ยนเครื่องก็ย่อมตอบโจทย์ครับ ได้ตั๋วถูกกว่าด้วย ดังนั้นแล้ว การตัดสินใจต่างๆก็ขึ้นอยู่กับ การเปรียบเทียบระยะเวลาการเดินทาง ราคาตั๋ว สภาพร่างกายของท่านผู้อ่านหละครับ ทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง และหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกท่านครับติดตามผู้เขียน คลิกเลย เครติดภาพ โดยภาพหน้าปก ออกแบบโดยผู้เขียนด้วย Belle Shang / pexelsภาพที่ 1 / pixabayภาพที่ 2 / pixabayภาพที่ 3 / pixabayภาพที่ 4 / pixabayเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !