เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกอ่อนล้าอ่อนเพลียหมดแรง สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่คิดถึง คืออาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม เรากินเราดื่ม เพราะเชื่อเสมอว่าน้ำตาลนั้น เป็นสารอาหารที่ เพิ่มพลัง ดับกระหายทำให้กระชุ่มกระชวย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าน้ำตาลนั้น นอกจากเป็นเพื่อนที่แสนดีในยามเหนื่อยล้าแล้ว ยังเป็นเพื่อนใกล้ตัวที่สุดแสนอันตราย ก่อให้เกิดโรคร้ายตามมาอีกมากมาย น้ำตาลเป็นสารที่ให้ความหวาน ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในเรื่องของการให้พลังงานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลูโคสซึ่งมีหน้าที่ในการให้พลังงานแก่สมองและช่วยการกระตุ้นการหลั่งของสารเคมีในสมองช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นและทำให้มีอารมณ์ดีขึ้น แม้ว่าน้ำตาลจะมีประโยชน์ แต่การให้พลังงานเพียงอย่างเดียวและขาดคุณค่าทางโภชนาการ แล้วคนส่วนมากก็ได้รับน้ำตาจากธรรมชาติมากเกินความต้องการของร่างกาย เพราะนอกจากสารอาหารที่รับประทานเข้าไปทุกวันอยู่แล้วเช่นข้าวได้คาร์โบไฮเดรต แป้งจากเส้นก๋วยเตี๋ยวผักและผลไม้เป็นต้น อาหารเหล่านี้ก็ให้น้ำตาลด้วยเช่นกันดังนั้นการได้รับน้ำตาลมากขึ้นจากสารอาหารหลัก ก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินจำเป็นซึ่งแน่นอนว่าการได้รับอะไรก็ตามที่มากเกินความจำเป็นย่อมส่งผลร้ายมากกว่าผลดีแน่นอน แล้วผลร้ายเหล่านั้นที่จะตามมา จากการทานน้ำตาลมากเกินความจำเป็นก็จะเกิดผลเสียในระยะยาวต่อสุขภาพสิ่งแรกที่เห็นได้ชัดเจนก็คือปัญหาสุขภาพช่องปาก นั่นคือปัญหาฟันผุเพราะน้ำตาลเป็นสารอาหารชั้นเลิศของแบคทีเรียในช่องปาก แบคทีเรียจะนำน้ำตาลไปใช้และเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกซึ่งเป็นสาเหตุของการทำลายเคลือบฟันทำให้ฟันก่อนเร็วและสุดท้ายก็เกิดเป็นฟันผุ นอกจากนี้การกินน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปเมื่อร่างกายดูดซึมเข้าสู่ภายใน ก็จะเปลี่ยนกลายเป็นไขมันสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อไขมันผนังหลอดเลือดและส่วนต่างๆ ของร่างกายทั้งหมด ซึ่งการสะสมไขมันนี้ทำให้ร่างกายขยายขนาดขึ้นทำให้เกิดโรคอ้วนซึ่งนำไปสู่ภาวะโรคร้ายแรงต่างๆ เช่นโรคเบาหวานประเภท 2 ที่เกิดจากการดื้อต่ออินซูลินโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตีบโรคไขข้อเสื่อม แล้วโรคร้ายตามมาอีกมากมายล้วนเป็นสาเหตุมาจากภาวะการรับน้ำตาลมากเกินขนาด ซึ่งการรักษามีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลารักษายาวนานและอันตรายที่สุดคือมีอัตราการตายสูงขึ้นเพิ่มขึ้นทุกปีด้วย การกินน้ำตาหรือบริโภคน้ำตาลมากเกินความจำเป็น มีผลเสียต่อสุขภาพมากมาย เมื่อท่านได้ทราบดังนี้แล้ว ท่านคงสงสัยว่าน้ำตาลปริมาณเท่าใดใน 1 วันจะเป็นปริมาณที่เหมาะสมต่อท่านวันนี้ผู้เขียนขอมอบความรู้ให้ท่านผู้อ่านดังนี้ """ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้ปริมาณน้ำตาลไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่ได้รับใน 1 วันสำหรับคนไทยข้อแนะนำในการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยถูกระบุไว้ชัดเจนว่า น้ำมัน เกลือ น้ำตาลให้กินแต่น้อยเท่าที่จำเป็นทั้งนี้ได้มีการกำหนดปริมาณน้ำตาลว่าไม่ควรเกิน 4 ,6 และ 8 ช้อนชาสำหรับผู้ต้องการพลังงาน 1600, 2000 และ 2700 กิโลแคลอรีซึ่งเท่ากับปริมาณร้อยละ 5 โดยเฉลี่ยโดยส่วนที่เหลือได้เผื่อไว้สำหรับน้ำตาลที่ได้จากอาหารอื่นซึ่งไม่ทราบปริมาณ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันจึงขอแนะนำปริมาณน้ำตาลสำหรับประชากรโดยทั่วไปคือควรกินไม่เกิน 6 ช้อนชาหรือ 24 กรัมต่อวันตัวเลข 6 ช้อนชาต่อวันเมื่อรู้แล้วอย่าเพิ่งตกใจไป เพราะเป้าหมายของผู้เขียนไม่ได้ต้องการให้ทุกท่านควบคุมการกินน้ำตาลไม่เกินกี่ช้อนชาต่อวันเพียงแต่ว่า มันสำคัญตรงการลดน้ำตาลต่อวันให้ได้ต่างหาก ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าไม่ว่าท่านผู้อ่านจะได้รับน้ำตาลจากอาหารแหล่งใดก็ตามต่อวัน ขอให้ท่านจำไว้ให้ง่ายหลักการให้คือการที่ท่านได้ลดน้ำตาลแค่เพียงช้อนเดียวก็ลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายที่เกิดจากความหวานได้แล้วท่านไม่จำเป็นต้องจำปริมาณที่แนะนำ 6 ช้อนต่อวันเพียงแต่ให้บอกตัวเองไว้เสมอว่าวันนี้ว่าวันนี้ท่านได้ลดน้ำตาลลงแล้วหรือยัง สำหรับท่านที่พลาดติดน้ำตาลไปแล้วจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร การติดน้ำตาลหรือสารอาหารที่มีรสหวาน ถูกพัฒนามาจากการกินตั้งแต่วัยเด็กโดยผลวิจัยค้นพบว่าเด็กๆที่ถูกคุณพ่อคุณแม่ตามใจและเลี้ยงด้วยนมรสหวานหรือการบริโภคน้ำหวานตลอดเวลาส่งผลให้เด็กกลุ่มนี้ ติดของหวานและสารอาหารให้ความหวานในปริมาณมากโดยไม่มีการควบคุมซึ่งส่งผลให้เด็กคุ้นเคยกับรสชาติหวานและมีแนวโน้มที่จะกินอาหารที่ผสมน้ำตาลมากขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะคนติดหวานมีความต้องการและมีความอยากของหวานอยู่เสมอซึ่งช่วงที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือไม่มีน้ำตาลจะทำให้เกิดอาการซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ขาดสมาธิควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างไรก็ตามการที่จะบอกให้คนติดหวานเลิกกินน้ำตาลในทันทีนั้นเป็นเรื่องยากแต่การหาทางออกที่ง่ายที่สุดคือการลดปริมาณลงทีละน้อยในทุกๆวันเริ่มจากการลดน้ำตาลลง อย่างน้อยในช่วงแรกการกินน้ำตาลต้องลดน้อยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพราะหากการลดหรืออดในทันทีอาจทำให้เกิดอาการอยากน้ำตาลมากขึ้นเป็นทวีคูณสุดท้ายก็จะกลายเป็นไม่สามารถที่จะลดลงได้ ฉะนั้นแล้วการลดน้ำตาลใน 1 วันสามารถทำได้หลายวิธีเริ่มจากการลดการเติมน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มสักครึ่งช้อนชาและค่อยๆลดลงในวันต่อมาขอให้นึกไว้เสมอว่าอาหารและเครื่องดื่มที่ซื้อมา 1 แก้วทุกอย่างนั้นจะมีน้ำตาลในส่วนผสมอยู่เสมอและที่สำคัญแต่ละอย่างจะมีน้ำตาลผสมอยู่ไม่ต่ำกว่าครึ่งช้อนชา หันมากินผักผลไม้โดยไม่ต้องจิ้มเกลือน้ำตาล ลดการบริโภคน้ำอัดลมขึ้นโดยมีรสหวานทุกครั้งที่กระหายขอให้เลือกดื่มน้ำเปล่าและเลือกใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเช่นอะซีซัลเฟมเคเป็นต้นและที่สำคัญ เพิ่มวิธีการออกกำลังกายช่วยในการเผาผลาญน้ำตาลให้มากขึ้น และอีกวิธีที่มีความสำคัญในการลดและควบคุมปริมาณก็คือการอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งก่อนที่จะรับประทานอาหารใดๆก็ตามเพราะในทุกผลิตภัณฑ์จะมีฉลากโภชนาการอยู่ข้างถุงข้างซอง ข้างกระป๋องให้ผู้บริโภคได้อ่านก่อนทำให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงปริมาณสารอาหารที่แน่นอนในเวลานั้นๆซึ่งทำให้เราสามารถกำหนดหรือทราบได้ว่าควรจะลดหรือเพิ่ม ในการบริโภคผลิตภัณฑ์นั้น ทำให้รู้ถึงการดูปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ว่ามากน้อยเพียงใด เมื่อรู้จักการอ่านฉลากโภชนาการที่ติดอยู่ในผลิตภัณฑ์แล้วมาเรียนรู้การอ่านฉลากโภชนาการกันดีกว่าฉลากโภชนาการจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของสารอาหารนั้นต่อหนึ่งหน่วยบริโภคและมีการแสดงถึงปริมาณร้อยละของสารอาหารนั้นที่ร่างกายควรได้รับใน 1 วันซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนทั่วไปในการเปรียบเทียบสินค้าในการบริโภคและสามารถเลือกกินอาหารให้มีสุขภาพดีได้ด้วยเข้าใจได้ง่ายขึ้น สุดท้ายนี้การลดการบริโภคน้ำตาลเพียงอย่างเดียว อาจช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นสำหรับผู้เริ่มต้นแต่การทำให้เลิกน้ำตาลได้อย่างเด็ดขาดผู้บริโภคต้องหันมาใส่ใจตัวเองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเพราะนอกจากการลดน้ำตาลแล้วยังต้องทำการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย แล้วที่สำคัญต้องใส่ใจตัวเองอยู่เสมอ คอยเตือนตัวเองว่าในแต่ละวันได้รับปริมาณน้ำตาลเข้าไปมากน้อยเพียงใดหันมาสนใจดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้เพื่อจะได้มีอายุยืนยาวในวันหน้าเพราะทุก 1 ช้อนชาลดลงนั่นหมายถึงการเดินออกห่างจากโรคเรื้อรังต่างๆไปอีก 1ก้าวด้วยเช่นกัน