เครดิตภาพปก : paulbr75 / Pixabay น้ำมันเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่มีค่าที่สุด เนื่องจากอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในโลกต้องพึ่งพาน้ำมัน แต่อย่างไรก็ตาม น้ำมันก็เป็นหนึ่งในสินค้าที่มีความผันผวนมากที่สุด เนื่องจากมีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์บ้านเมืองอย่างมาก แต่หลายคนยังไม่เข้าใจว่าราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงอย่างไร เศรษฐศาสตร์ของราคาน้ำมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเนื่องจากปัจจัยต่างๆ มากมายส่งผลต่อความผันผวนของราคา ในบทความนี้ เราจะสำรวจปัจจัยที่ส่งผลต่อด้านราคาน้ำมัน เพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่ากระบวนการกำหนดราคาทำงานอย่างไร ด้วยความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลราคาน้ำมันนี้ จะทำให้คุณจะเข้าใจได้มากขึ้นเมื่อถึงเวลาต้องออกไปเติมน้ำมัน กุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจราคาน้ำมันคือความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) และอุปทาน (ความต้องการขาย) ราคาจะเพิ่มขึ้นเมื่อความต้องการซื้อมากขึ้น (สมมติว่าอุปทานคงที่) และ เมื่อความต้องการขายมากเกินไปราคาน้ำมันก็จะลดลง (สมมติว่าอุปสงค์คงที่) เรามาดูปัจจัยสำคัญ 6 ประการที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ปัจจัยด้านอุปทานที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมัน 1. องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (Organization of Petroleum Exporting Countries) หรือ โอเปก (OPEC) OPEC เป็นองค์กรของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นพันธมิตรที่ประกอบด้วย 14 ประเทศที่ส่งออกปิโตรเลียม โดยประเทศใน OPEC ได้รวมตัวกันเพื่อควบคุมราคาน้ำมันโดยการควบคุมการผลิตน้ำมัน ซึ่งทำให้ประเทศสมาชิกมั่นใจได้จะได้รับราคาน้ำมันที่ดี แม้ว่าจะหมายถึงการผลิตน้อยลงในระยะสั้นก็ตาม ในปี 2018 กลุ่มประเทศ OPEC ตกลงที่จะจำกัดการผลิตน้ำมันดิบไว้ที่ประมาณ 39 ล้านบาร์เรลต่อวัน มากกว่า 1 ใน 3 ของการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกต่อวัน เครดิตภาพ : Spanaut / Flickr 2. ประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก นอกเหนือจากกลุ่มโอเปกยังมีประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และจีน ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำของโลกด้วยการผลิต 13 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2017 นอกจากนี้ยังมี OECD องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ซึ่งสมาชิกผลิตได้ประมาณ 24 ล้านบาร์เรลต่อวัน และเมื่อนับโดยรวมแล้ว ประเทศนอกกลุ่มโอเปกผลิตน้ำมันดิบในภูมิภาค 53 ล้านบาร์เรลต่อวัน 3. เหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมาย เหตุการณ์ที่เศรษฐศาสตร์ไม่สามารถอธิบายหรือควบคุมได้ เช่น ภัยธรรมชาติ สงคราม และความไม่แน่นอนทางการเมืองโลก ล้วนส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ตัวอย่างเช่น เมื่อพายุเฮอริเคนแคทรีนาพัดถล่มชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาในปี 2005 ได้สร้างความเสียหายให้กับสายการผลิตน้ำมันที่สำคัญ ทำให้เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันในอเมริกาฃ ราคาน้ำมันในบางพื้นที่ของประเทศจึงพุ่งขึ้นมากกว่าครึ่งดอลลาร์ หรือ ในปี 2003 ราคาน้ำมันก็พุ่งสูงขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ บุกอิรัก เครดิตภาพ : Pingnews / Flickr ปัจจัยด้านอุปสงค์ที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมัน 4. เศรษฐกิจทั่วโลก กลุ่มหลักที่ส่งผลกระทบต่อเศรษกิจทั่วโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน เมื่อรวมกันแล้ว ทั้งสามใช้น้ำมันดิบประมาณ 45 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจทั่วโลกนั้นอาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ทำให้เกิดการชะลอตัวของอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลให้ความต้องการน้ำมันลดลง ทำให้ราคาของน้ำมันดิบเบรนท์ก็ลดลงมากกว่า 100 ดอลลาร์ในช่วงห้าเดือน แต่บ่อยครั้งเมื่ออุตสาหกรรมฟื้นตัว ราคาน้ำมันก็จะเริ่มฟื้นตัว ตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมันกลับมาที่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อสามปีหลังจากวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ จากนั้นราคาน้ำมันยังคงสูงกว่า 85 ดอลลาร์จนถึงเดือนสิงหาคม 2014 ปัจจุบันโลกบริโภคน้ำมันดิบประมาณ 98 ล้านบาร์เรลต่อวัน และยังมีการตั้งคำถามว่าความต้องการใช้น้ำมันจะยังคงสูงอยู่ในปีต่อๆ ไปหรือไม่ หลังจากมีการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียน เครดิตภาพ : N. Sönnichsen / Statista 5. พลังงานทดแทน ความตระหนักที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการใช้หมุนเวียนเช่นพลังงานแสงอาทิตย์และลมอาจทำให้การพึ่งพาน้ำมันของโลกลดลง การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งตามที่รัฐบาลต่างๆ ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะห้ามการผลิตรถยนต์เบนซินและดีเซลใหม่ในปีต่อๆ ไป สหภาพยุโรปได้ตั้งเป้าหมายว่าจะมีแหล่งพลังงานหมุนเวียนคิดเป็น 20% ของการใช้พลังงานในทวีปนี้ภายในปี 2020 และประเทศต่างๆ เช่น เดนมาร์ก ตั้งเป้าที่จะปลอดจากเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยสมบูรณ์ภายในปี 2050 การลดการพึ่งพาน้ำมันอาจทำให้ราคาน้ำมันลดลงเนื่องจากอุปทานอาจยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ความต้องการใช้น้ำมันลดน้อยลง ก็มีแนวโน้มว่ากลุ่มโอเปกและส่วนการผลิตน้ำมันอื่นๆ ของโลกจะลดอุปทานลงเพื่อรักษาราคาให้อยู่ในระดับที่ทำกำไรได้ เครดิตภาพ : Kindel Media / Pexels 6. ความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากการประชุม Bretton Woods ในปี 1944 เงินดอลลาร์สหรัฐถูกตรึงกับราคาทองคำ และสกุลเงินอื่น ๆ ทั้งหมดถูกตรึงไว้ที่ดอลลาร์ เป็นผลให้เงินดอลลาร์กลายเป็นสกุลเงินสำรองของโลกและมีการซื้อและขายน้ำมันเป็นดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าสหรัฐจะยกเลิกมาตรฐานทองคำในปี 1971 แต่น้ำมันก็ยังคงแลกเปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่ามูลค่าของเงินดอลลาร์มีผลกระทบอย่างมากต่อราคาน้ำมัน ตัวอย่างเช่น หากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง ในทางกลับกัน หากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ราคาน้ำมันดิบก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้น เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !