นักเขียนอาวุโสยุคบุกเบิกแห่ง "กลุ่มนาคร" นาม ประมวล มณีโรจน์ ไม่มีใครไม่รู้จัก โดยเฉพาะนักอ่านที่ติดตามผลงานของกลุ่มนาคร และสำนักพิมพ์นาครของคุณเจน สงสมพันธ์ เพราะนักเขียนคุณภาพหลายๆ ท่าน เช่น กนกพงศ์ สงสมพันธ์ , ไพฑูรย์ ธัญญา, ธัช ธาดา, อัตถากร บำรุง เป็นต้น ทุกๆ คนล้วนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น และมีการอ้างถึงนักเขียนผู้นี้มาตลอด หรือแม้แต่งานเขียนบางชี้น ก็ยังมีชายผู้นี้ หรือคนในครอบครัวของนักเขียนท่านนี้เกี่ยวข้องเสมอ อย่างเช่น ลูกชายของประมวล มณีโรจน์ ในหนังสือ คนตัวเล็กของกนกพงศ์ สงสมพันธ์ เป็นต้นประมวล มณีโรจน์ถือเป็นพี่ใหญ่ของนักเขียนปักษ์ใต้ ผู้มากด้วยข้อมูลชุดความรู้ท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา และวรรณกรรม เรื่องสั้น “ว่าวสีขาว” ได้ประดับช่อการะเกด (เพชร น้ำงาม), 2524 เรื่องสั้น “ทุ่งน้ำ” ได้รับรางวัลเรื่องสั้นอุดมศึกษา (ไม้แรกผลิ), 2525 เรื่องสั้น “จะไม่มีเมื่อวานนี้อีกแล้ว” รางวัลกลุ่มศิลปะและวรรณลักษณ์, 2530 เรื่องสั้น “ว่าวสีขาว” คัดเลือกแปลเป็นภาษามาเลย์ โดย Rattiya Saleh (Cerpen Cerpen Dari Negre Thai 1969 - 1985), 2533 เรื่องสั้น “วันนี้ดอกพุดซ้อนไม่ยอมบาน” คัดเลือกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น โดย Koichi Nonaka, 2538 เรื่องสั้น “ตัวสุดท้าย - โดมิโน” รางวัลช่อการะเกดยอดเยี่ยม และยอดนิยม เป็นต้น หนังสือประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์แห่งเพื่อนมิตร "การกลับมาของ พันธาร ชโลธร" โดยประมวล มณีโรจน์ (2560, ศูนย์ทะเลสาบศึกษา) ถือเป็นรวมเรื่องสั้นขนาดยาวที่เต็มเปี่ยมและอัดแน่นไปด้วยคุณภาพของนักเขียนชั้นครู ผู้เก็บเรื่องราวของสังคมมาประดับประดาอย่างปราณีตบวกกับเรื่องเล่าความสัมพันธ์ของนักเขียนสองท่าน ทั้งในมิติของการเดินทางท่องไปตามภูมิประเทศลุ่มน้ำทะเลสาป และเขตป่าเขาชายแดนภาคใต้ และมิติของการท่องไปในโลกของคนเขียนหนังสือ ที่บางครั้งคือการเดินทางของจิตวิญญาณอันโลดโผน และการผจญภัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้แบ่งเรื่องราวออกเป็น 3 เรื่องสั้นขนาดยาว ให้ชวนติดตามฉันใช้เวลา 2 วันในการอ่านอย่างละเอียดละออ.. ได้ความรู้สึกเข้มข้นตามฉบับ "นักเขียนมือดี"จริงๆ อารมณ์ที่อยากทำความรู้จักอย่างเป็นทางการต่อนักเขียนหนุ่มพเนจร หรือนักเขียนหัวบาตรที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ อย่าง พันธาร ชโลธร เกิดขึ้นตั้งแต่ได้รับข่าวจากครูประมวล มณีโรจน์ ที่ได้รับเชิญจากเครือข่ายวรรณกรรมคู่สังคมฯ มาเติมเต็มพลังวรรณกรรมในงานกุมภาฯ-จันทร์ครั้งแรกแล้ว ฉันขบคิดตั้งนาน ทบทวนรายนามนักเขียนที่ทั้งมีชื่อ และเบื้องหลัง ก็ไม่พบนาม "พันธาร ชโลธร"พอได้อ่านถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว นักเขียนหัวบาตรท่านนี้ดำรงตนอย่างยิ่งใหญ่ ณ พื้นที่ที่เหมาะสมดีแล้ว..การกลับมาของพันธาร ชโลธร และการจากไปของเขาแฝงไว้ด้วยนัยยะสำคัญต่อยุคสมัย ตลอดจนเรื่องราวมากมายให้เราต่างคิดคำนึง ทบทวน และตั้งคำถามถึงชีวิตและสังคม ได้อย่างลึกซึ้ง เข้มข้น และหนักแน่น..ชีวิตของพันธาร ชโลธร โลดแล่นอย่างพาดโผน และทรนง เฉกเช่นโจนาทาน ลิฟวิงสตัน นางนวล ของริชาร์ด บาก แต่มีอุดมคติเสมือนเมอโซ ในนวนิยาย "คนนอก" ของอัลแบร์ กามู ผู้เป็นตัวแทนมนุษย์ขบถแห่งสังคม ที่ดำเนินชีวิตไปตามตัวตนที่แท้ และทำหน้าที่ฟ้องร้องให้เห็นโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของสังคม..การเริ่มต้นอ่านจากหน้าแรกๆ ได้ความรู้สึกเหมือนควบแมงกาไซต์เก่าๆ ไต่ทางขึ้นเขาพับผ้า จ.ตรัง เราเกรงว่าจังหวะพาหนะเราเองจะไม่มีกำลังพอในการถ่อให้ถึงปลายทาง ซึ่งคือยอดเขาสูงเด่นของเรื่อง แต่วิธีการเขียนแบบฉบับนักเขียนมือดี (ครูประมวล มณีโรจน์) มากกว่าที่เข้ามาเป็นแรงขับถ่อไถให้ฉันถึงที่หมายอย่างน่าอัศจรรย์ใจ..เรื่องสั้นขนาดยาว 3 เรื่อง ที่ผู้เล่าและมิตรรัก (พันธาร ชโลธร) พาเรา (ผู้อ่าน) และวรรณกรรม ท่องเที่ยว ผจญภัย และโลดโผนไปตามทางสายเรื่องเล่าเก่าแก่ ร่วมสมัย และเร้นลับ สู่ หุบเขา ป่าดิบชื้น ทะเลสาบ และ มิตรภาพ..ทำให้เราเห็นขณะที่เวลาค่อยๆ เปลี่ยนเหตุการณ์ให้เป็นประวัติศาสตร์ จากประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเล่า เรื่องเล่าสู่ตำนาน ก่อนกลายเป็นนิทานให้สืบต่อๆ ไม่รู้จบ..ผู้เล่าในเรื่องสั้นทั้ง 3 เรื่องมีความผูกพันแนบแน่นกับนักเขียนหัวบาตร พันธาร ชโลธร ซึ่งถือเป็นการฉายมิติสำคัญของวรรณกรรมตามแบบฉบับของครูประมวล มณีโรจน์ ณ ทุ่งกว้างริมทะเลสาบ การตกผลึกทางชุดความรู้ด้านชีวิตและสังคม ตลอดจนความจัดเจนต่องานวรรณกรรม..ฉันรู้สึกไม่ผิดหวังที่หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน และได้ทำความรู้จักกับนักเขียนพเนจรอย่าง พันธาร ชโลธร ซึ่งหลังวางหนังสือเล่มนี้เข้าตู้ ฉันคงคิดถึงเขาด้วยเช่นกัน และคงรอคอยทั้งการกลับมาและจากไปของเขา.. ที่เสมือนฝูงนกน้ำจากดินแดนไกลโพ้นเร่ร่อนสู่ทะเลน้อย และจากไปไกลลิบ ตามจังหวะแห่งฤดูกาล..หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะบางส่วนของนักเขียน ที่ทุ่มชีวิตทั้งๆ ชีวิตของตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งเรื่องราวและชุดความรู้ก่อนจะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศิลปะที่ผสมผสานชุดข้อมูลความจริง ความรู้สึกและทัศนคติของผู้เขียน และศิลปะที่เป็นกรรมวิธีสำคัญในปรุงแต่งให้เรื่องราวเหล่านี้เกิดอรรถรสต่อผู้อ่านมากขึ้น อีกทั้งการใช้ชีวิต และวิธีคิดของนักเขียนประเภทนี้ ก็ถูกเปรียบเปรยเช่นวิถีการเป็นอยู่ของพันธาร ชโลธร ที่ต้องมีความหนักแน่น ชัดเจน ต่อองค์ความรู้และชุดข้อมูลที่ตนเองมี บวกกับประสบการณ์การผจญภัยของชีวิต ที่เข้ามาเอื้อให้ผลงานทรงคุณค่า.."ฤดูกาลแห่งโลก เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์, ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ตามมาย่อมมีนัยยะสำคัญต่อมนุษย์และโลก.. ผู้ที่เฝ้าสังเกตการณ์ธรรมชาติย่อมรู้ และรอคอย" นักเขียนคือผู้เฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล สังคม และประวัติศาสตร์ ซึ่งในทุกๆ ย่างก้าวของคนเช่นนี้ย่อมมีนัยยะผูกพันอยู่เสมอ เช่นเดียวกับวิถีการดำรงอยู่และจากไปของนักเขียนในเรื่อง อย่าง พันธาร ชโลธร ที่บางครั้งเขาสูญหายไปกับการท่องเที่ยวไปในสังคมอันหลากหลาย การเข้าไปใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับชุมชนใดชุมชนหนึ่ง แหล่งธรรมชาติ หรือ ทะเล-ป่าเขา ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง เพื่อมอบผลงานวรรณศิลป์ที่ทรงคุณค่าแด่ผู้อ่านและสังคม.. ถึงกระนั้นฉันเองก็จะเพ่งมองไปยังม่านราตรีมืดดำ.. หรือเราอาจจะได้พบเจอกันบ้าง พันธาร ชโลธรอินทรธนูวรรณกรรมคู่สังคมวันแดดเที่ยงแรงกล้า กลบม่านราตรีมืดดำภาพประกอบโดย ผู้เขียน