เป็นที่ฮือฮากันอีกครั้งกับการกลับมาของศิลปินเพลงสาวชื่อดังแห่งยุคสมัยอย่าง Lady Gaga ด้วยการปล่อยเพลง "Sour Candy" เพื่อการโปรโมทอัลบั้มใหม่ที่ชื่อ "Chromatica" ของเธอออกมา เพลงนี้สร้างความตื่นเต้นระคนปลื้มปลิ่มให้กับบรรดาเหล่าแฟนเพลงของ Black Pink วงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีสุดปังอย่างเหลือคณาไปด้วย เพราะนี่คือการร่วมงานกันครั้งแรกของทั้งศิลปินทั้งสอง ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ในวงการเพลงที่จัดว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวข่าวนี้ทำให้ผมคิดถึงเพลง ๆ หนึ่งของวง Queen เพลงที่เล่าขานกันสืบมาว่า มันคือที่มาของชื่อ Lady Gaga ในวันนี้ และ Freddie Mercury นักร้องนำของวงก็เป็นหนึ่งในศิลปินที่มีอิทธิพลกับเธอมากที่สุดอีกด้วย ลองมารู้จักเพลงนี้กันหน่อยดีไหม เพลงที่มีชื่อว่า "Radio Gaga" เพลงนี้เป็นเพลงแรก ๆ ของวง Queen ที่ผมรู้จัก เป็นผลงานในยุค 80s ของพวกเขา ซึ่งเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของการฟังเพลงสากลแบบเป็นเรื่องเป็นราวของตัวผมเอง เพลงนี้มีลักษณะที่แตกต่างไปจากงานเพลงร็อคระดับคลาสสิคในยุค 70s ของพวกเขาอย่าง "Bohemain Rhapsody" หรือ "We Are the Champion" ค่อนข้างมาก“Radio Gaga” ถือเป็นเสียงแห่งยุค 80s ของ Queen เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของดนตรีในแบบของวง เพลงนี้แต่งโดย Roger Taylor มือกลองของวง อยู่ในอัลบั้มชื่อ “The Works” ออกมาในปี 1984 มีเนื้อหาเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รายการเพลงทางวิทยุในยุคนั้น ที่มุ่งเน้นไปในทางการค้ามากจนเกินไป ทำให้กลุ่มผู้ฟังรุ่นใหม่เริ่มหันไปหาสื่อใหม่ ๆ อย่าง MTV สถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอมิวสิควิดีโอซึ่งกำลังเติบโตขึ้นมาแทนเพลงนี้จะมีความเป็นดนตรีเต้นรำในแบบอิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างสูง เทคนิคการบันทึกเสียงที่แพรวพราว ทั้งดรัมแมชชีนและซินธีไซเซอร์ตามยุคสมัยนั้นก็มีมาอย่างครบครัน Freddie Mercury เป็นคนขัดเกลาคำร้องให้สละสลวยขึ้น และยังเป็นคนเรียบเรียงดนตรีในเพลงนี้อีกด้วย ส่วนเสียงของซินธีไซเซอร์ที่แสนซับซ้อน ทั้งอบอุ่นและหนาแน่นในเพลงนี้ ได้รับความช่วยเหลือจาก Fred Mandel มือคีย์บอร์ดที่ฝากฝีมือไว้ในงานเพลงหลาย ๆ ชิ้นของวง Queen และรวมถึงงานเดี่ยวของสมาชิกในวงอีกด้วยเสียงร้องของ Freddie ในเพลงนี้ออกมาในโทนที่ค่อนข้างนุ่มนวล เหมาะกับความเป็นเพลงแนว Techno Pop ที่น่าฟังตามสมัยนิยม เสียงเบสของ John Deacon ฟังดูขี้เล่น ซุกซน ลื่นไหล เหมือนหยอกล้อไปกับเสียงซินธีไซเซอร์อยู่แทบจะตลอดเวลา ถึงแม้บทบาทของเสียงกีต้าร์ฝีมือ Brian May จะค่อนข้างน้อยมากในเพลงนี้ แต่ทุกครั้งที่มันปรากฏขึ้นมา ก็จะช่วยแต่งเติมชีวิตชีวาให้กับบทเพลงได้เสมอ เพลงนี้เป็นหนึ่งในหกของบทเพลงที่ Queen ใช้แสดงบนเวทีอภิมหาคอนเสิร์ตการกุศล Live Aid ในปี 1985 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีสีสันมากที่สุดของวงในวันนั้น เมื่อผู้ชมในสนามเวมบลีย์ต่างร่วมปรบมือตามจังหวะเสียงปรบมือในเพลงอย่างพร้อมเพรียงกันในช่วงเวลาของยุค 80s ผู้ฟังทางฟากฝั่งอเมริกา ดูจะไม่ค่อยชื่นชอบดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์กันสักเท่าไร เพลงนี้จึงขึ้นไปได้เพียงอันดับ 16 บนชาร์ต Billboard Hot 100 แต่ว่าในยุโรปนั้นจะแตกต่างกันออกไป เพราะสามารถขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งในหลายประเทศ อย่างเช่น เบลเยี่ยม, เดนมาร์ค, ฟินแลนด์, ไอร์แลนด์ และ สวีเดน ส่วนที่อังกฤษบ้านเกิดก็สามารถขึ้นไปถึงอันดับสองบนชาร์ตของที่นั่นด้วยRob Fusari โปรดิวเซอร์ผู้เคยร่วมงานกับ Lady Gaga ในยุคเริ่มต้นก่อนที่เธอจะใช้ชื่อนี้เคยเล่าเอาไว้ว่า เธอจะร้องเพลง "Radio Gaga" ขณะเดินเข้ามาในสตูดิโอในทุก ๆ วัน เพื่อใช้เป็นการทักทายแทนคำว่า "สวัสดี" ของเธอ จนมันได้กลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเธอไปในที่สุด คุณสามารถดูมิวสิควิดีโอเพลงนี้บนยูทูปได้ที่นี่ เครดิตภาพ:ภาพหน้าปก | Queen Official Facebook Page ภาพประกอบบทความ |รูปที่ 1 Lady Gaga Official Facebook Pageรูปที่ 2 Comunità Queeniana @ flickr ภายใต้การอนุญาต CC BY-SA 2.0รูปที่ 3 Queen Official Facebook Page อ้างอิง:Lady Gaga by Heidi KrumenauerRadio Gaga on Wikipedia