ในขณะที่โลกลูกหนังต้องหยุดชะงักพักการแข่งขันเพื่อยับยั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 กลับมีข่าวหนึ่งซึ่งน่าสนใจสามารถครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่บนสื่อต่าง ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ นั่นก็คือข่าวการทุ่มซื้อกิจการสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด จากเจ้าของคนปัจจุบันคือ ไมค์ แอชลีย์ โดยกลุ่มทุนที่ใช้ชื่อว่า SPIF Group (Saudi Arabia's Public Investment Fund) ซึ่งมีเจ้าชายโมฮัมเม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบียเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 80 % นั่นเอง ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 2017-2020 “สาลิกาดง” นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ตกเป็นเป้าหมายในการซื้อขายกิจการจากกลุ่มต่าง ๆ มากมาย แต่สุดท้ายกลับต้องม้วนเสื่อแยกย้ายไม่เคยบรรลุเป้าหมายในการเจรจาสักครั้งเดียว หลายคนอาจสงสัยว่านิวคาสเซิล ยูไนเต็ดทีมนี้มีของดีอะไร ทำไมหัวกระไดไม่เคยแห้งจากเหล่านายหน้าซึ่งมักจะมาโยนหินถามทางเสนอตัวเป็นคนกลางในการซื้อขายสโมสรอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่โปรไฟล์ของทีมไม่ได้เลิศเลอ เผลอ ๆ อาจจะเป็นทีมกลุ่มล่างของตารางซึ่งจองเก้าอี้ในการหนีตกชั้นทุกปีไป ด้วยความที่นิวคาสเซิล ยูไนเต็ดเป็นสโมสรฟุตบอลทีมเดียวในเมืองนี้ อีกทั้งสนามเซนต์ เจมส์ ปาร์ค ซึ่งเป็นสนามเหย้าของพวกเขาสามารถจุผู้ชมได้มากถึง 52,404 ที่นั่ง ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 6 ของสนามฟุตบอลที่สามารถจุผู้ชมได้มากที่สุดบนเวทีพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นอกจากนี้แฟนบอลของเมืองนิวคาสเซิลก็คลั่งไคล้ในฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจและพร้อมให้การสนับสนุนทีมในทุกมิติ สังเกตได้จากยอดผู้ชมที่ไม่เคยต่ำกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของความจุสนามแม้ว่าจะห่างหายจากความสำเร็จมายาวนานกว่า 65 ปีแล้วก็ตาม ภายใต้การนำของไมค์ แอชลีย์ ชาวจอร์ดี้(คนอังกฤษเรียกชาวเมืองนิวคาสเซิลว่าจอร์ดี้)ขนานแท้ ผลงานของนิวคาสเซิลลุ่ม ๆ ดอน ๆ จากเคยเป็นทีมลุ้นตั๋วไปฟุตบอลสโมสรยุโรปเกือบทุกปี กลับกลายสภาพเป็นทีมหนีตกชั้นเสียอย่างนั้น ที่สำคัญในช่วงเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา เขาก็พาพลพรรคสาลิกาดงร่วงหล่นลงสู่ลีd รองได้ถึงสองครั้งสองครา ใครจะคิดว่าสโมสรซึ่งมีเจ้าของทีมรวยติดอันดับต้น ๆ ของประเทศแห่งนี้มีดีพอแค่การลุ้นหนีตกชั้นเท่านั้นหรือ ? จากชายที่เคยถูกมองว่าเป็นฮีโร่ที่จะมากอบกู้สโมสร กลับกลายเป็นเนื้อร้ายในสายตาแฟนบอลเมื่อนโยบายหลักของสโมสรภายใต้การนำของไมค์ แอชลีย์ คือ เล่นดีขายออก เล่นกระจอกเก็บไว้ จากนั้นให้ทีมแมวมองไปกว้านซื้อนักเตะมือสองมาฟอกสีใหม่หากได้กำไรก็พร้อมขายสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้นิวคาสเซิล ยูไนเต็ดกลายเป็นอู่ซ่อมรถที่เต็มไปด้วยอะไหล่ซึ่งบางชิ้นดูไม่ไหว บางชิ้นพอใช้งานได้ และบางชิ้นก็สามารถขายทำกำไรจนเจ้าของอู่คิดว่าดีเกินไปกว่าที่จะเก็บไว้ใช้งานเอง เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งระหว่าง ไมค์ แอชลีย์ และแฟนบอลก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขนาดที่เจ้าตัวไม่ยอมเดินทางเข้ามาชมเกมในสนาม และหายหน้าหายตาไปจากการบริหารงานราวกับไม่มีตัวตน จนเคยมีคลิปแฟนบอลนิวคาสเซิลคนหนึ่งซึ่งบังเอิญพบเจอไมค์ แอชลีย์กลางถนน สุดจะทนกับพฤติกรรมของเจ้าของสโมสรคนนี้ จึงเดินเข้าไปต่อว่าไมค์ แอชลีย์อย่างไม่มีชิ้นดีด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบแทบจะแทรกแผ่นดินหนีที่ว่า “หากไม่คิดจะทำทีมให้ดี ทำไมพี่ถึงไม่ยอมขายทีมทิ้งไป” อย่างไรก็ดีความจริงอีกด้านหนึ่งคือ ไมค์ แอชลีย์ มีความพยายามที่จะขายทีมมาตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากเราสังเกตให้ดีก่อนตลาดการซื้อขายนักเตะจะเปิดทำการแทบทุกครั้ง สโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด จะมีข่าวพัวพันกับการซื้อขายกิจการเสมอ อาทิ กลุ่มทุนของ "ปีเตอร์ เคนยอน" นักปั้นมือทองผู้ซึ่งเคยบริหารทั้งสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซีจนประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งคู่ หรือจะเป็น "ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์" นักชกชาวอเมริกันที่ใฝ่ฝันอยากจะมีทีมฟุตบอลเป็นของตัวเอง ตลอดจนถึง"อเลยานโดร อีราราโกรี" มหาเศรษฐีชาวเม็กซิกัน ผู้ซึ่งปรารถนาที่อยากจะมาสัมผัสกับการแข่งขันอันเข้มข้นของฟุตบอลอังกฤษให้ได้สักครั้ง แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครบรรลุข้อตกลงกับไมค์ แอชลีย์ ผู้ซึ่งเคยประกาศไว้ว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่ยอมขายกิจการ หากเขาไม่เห็นเงินในบัญชีธนาคาร 300 ล้านปอนด์นั่นเอง ด้วยความเขี้ยวลากดินของไมค์ แอชลีย์ เขายืนยันที่จะไม่ยอมลดราคาค่าเซ้งกิจการลงแม้แต่เพียงเพนนีเดียว ยิ่งทำให้หัวใจของแฟนบอล “ทูน อาร์มี่” ห่อเหี่ยวลงทุกวัน แต่แล้วสวรรค์ก็ประทานโอกาสสำคัญมาให้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีรายงานว่ากลุ่ม PCP Capital Partners ซึ่งตามจีบเสี่ยไมค์อยู่นานหลายปี ยื่นข้อเสนอดูดีมีคุณค่ามาไว้ให้ ไมค์ แอชลีย์ พิจารณา และครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ต่อราคา แถมยังสวมบทป๋า พร้อมขึ้นราคาให้ถึง 350 ล้านปอนด์เลยทีเดียว มีหรือที่เสี่ยไมค์จะไม่รีบกดไฟเขียวให้เลี้ยวซ้ายผ่านตลอดแบบไม่มีอิดออดเหมือนที่ผ่านมา สถานการณ์ต่าง ๆ ค่อนข้างสดใส เมื่อคนที่อยู่เบื้องหลังการซื้อขายครั้งนี้ไม่ใช่ใคร เขาคือมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบียนามว่า มุฮัมมัด บิน ซัลมาน มหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์สินติดอันดับ Top 10 ของโลก(มีทรัพย์สินมากกว่าเจ้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 10 เท่า) ซึ่งหากการซื้อขายกิจการของนิวคาสเซิลสำเร็จจะส่งให้พวกเขากลายเป็นสโมสรซึ่งมีเจ้าของทีมที่ร่ำรวยที่สุดในโลกโดยปริยาย แต่สิ่งที่มีปัญหาก็คือภาพลักษณ์ขององค์รัชทายาท เพราะเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการล้างบางวงการคอรัปชั่นในประเทศซาอุดิอาระเบีย เพื่อรวมศูนย์อำนาจการบริหารมาไว้ในมือเขาและชาวคณะแต่เพียงผู้เดียว แถมยังมีเอี่ยวในคดีที่ถูกฟ้องร้องว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนจนเป็นข่าวใหญ่โตอยู่พักหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเกิดมหากาพย์การฟ้องร้องเมื่อมีผู้เกี่ยวข้องยื่นซองไปยังสมาคมฟุตบอลอังกฤษให้พิจารณาความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งเจ้าของสโมสรขององค์รัชทายาททันที ในกรณีนี้หนึ่งในผู้เกี่ยวข้องที่เปรียบเสมือนลิ้นกับฟันก็คือ Bein Sports ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมสัญชาติกาตาร์ ซึ่งถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลยุโรปบนคาบสมุทรอาหรับแต่เพียงผู้เดียว โดยพวกเขาได้กล่าวหาว่า SPIF ทำการละเมิดสัญญาด้วยการนำภาพการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกซึ่ง Bein Sports เป็นผู้ถือครองสิทธิ์อยู่ไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต และในอนาคตยังมีความพยายามที่จะประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไปเป็นของตัวเองซึ่งอาจส่งผลต่อการแทรกแซงกิจการภายในของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกได้ นอกจากนี้ยังมีข้อร้องเรียนจากเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากการปราบโกงขององค์รัชทายาท ทำเรื่องร้องเรียนกล่าวโทษว่าพยายามจะใช้สโมสรฟุตบอลเพื่อฟอกตัว ซึ่งอาจทำให้ภาพลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษเสียหายก็เป็นได้ ถึงประเด็นที่กล่าวมาเบื้องต้นจะมีเหตุผลให้รับฟังได้ แต่อาจไม่มีน้ำหนักมากเพียงพอที่จะให้สมาคมฟุตบอลอังกฤษตีตกคำร้องขอซื้อกิจการของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน แต่ข้อกังวลสำคัญที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษไม่สามารถมองข้ามได้ก็คือ การแทรกแซงกิจการภายในของพรีเมียร์ลีก ที่มีเครือญาติของพระองค์คือเจ้าชายอับดุลลาห์ บิน มูซาอัด ซึ่งเป็นเจ้าของทีมสโมรสรเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดอยู่ อีกทั้งตัวเจ้าชายยังมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระองค์กับนักการเมืองหนุ่มจากกลุ่มอาบูดาบี เจ้าของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม ชีค มานซูร์ นั้น อาจส่งผลให้เกิดการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันอาจส่งผลกระทบต่อผลการแข่งขันหรือการแทรกแซงกลไกทางการเงินก็เป็นได้ กรณีศึกษาชั้นดีคงต้องข้ามฟากไปที่เวที กัลโช ซีรีส์ อาร์ อิตาลี ในกรณีล้างบางขบวนการล้มบอลที่ทำให้ความเชื่อมั่นในเกมลูกหนังของลีกอันดับหนึ่งของโลกในเวลานั้นสั่นคลอนจนไม่อาจกลับมายืนอยู่ในจุดเดิมได้อีกต่อไป เมื่อ"ยูเวนตุส" แชมป์เก่าสองสมัยถูกจับได้ว่าล็อคผลการแข่งขันจนถูกยึดแชมป์และปรับตกชั้นไปเล่นในลีกรองและให้เริ่มต้นฤดูกาลด้วยแต้ม -30 แม้แต่เอซี มิลาน ก็ไม่เว้นโดนลงโทษจากคดีเดียวกันแต่ยังโชคดีไม่ถูกปรับตกชั้นเพียงแต่ให้เริ่มต้นฤดูกาลใหม่ด้วยคะแนน -30 เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้ปีศาจแดง-ดำ อดีตเจ้าของแชมป์ฟุตบอลยุโรป 7 สมัย ต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก ต้องขายนักเตะสำคัญเพื่อใช้หนี้สโมสร จนกระทั่งปัจจุบัน สโมสรซึ่งเป็นตำนานของฟุตบอลอิตาลีแห่งนี้ยังหาทางกลับฝั่งไม่เจอเลยนั่นเอง ผลกระทบจากการแทรกแซงกิจการของบรรดานายทุน เจ้าของสโมสรตลอดจนถึงทีมงานและนักฟุตบอลในอิตาลีนั้น หนักหนาสาหัสต้องปราบกันถึง 3 ปี มีผู้เกี่ยวข้องในทุกระดับกว่า 100 ชีวิต บางรายโชคดีหน่อยก็แค่ปรับเงินห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอล 2-3 ปี บางรายโชคร้ายถึงขั้นติดคุกติดตารางหรือโดนตัดสิทธิ์ห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลตลอดชีวิตก็มีให้เห็นมากมาย นับตั้งแต่เรื่องร้ายได้ผ่านไปวงการฟุตบอลของอิตาลีก็ไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมอีกเลย จำนวนผู้ชมลดลงอย่างน่าใจหาย จากที่เคยมีแฟนบอลในสนามเกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในเกมการแข่งขันทุกสัปดาห์ เหล่าแฟนบอลต่างพากันหายหน้าไปเกินกว่าครึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อสถานภาพทางการเงินของสโมสรต่าง ๆ เป็นโดมิโนเลยเช่นกัน ทีมใหญ่หลายทีม อาทิ ฟิออเรนตินา และ ปาร์มา ถูกปรับตกชั้นลงไปเล่นฟุตบอลดิวิชั่น 3 เนื่องจากปัญหาสภาพคล่องทางการเงินและต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะกลับขึ้นมาอยู่ในจุดที่พวกเขาควรจะยืน ดังนั้นประเด็นการซื้อกิจการของสโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดอาจมีเรื่องหมกเม็ดให้สมาคมฟุตบอลอังกฤษต้องพิจารณาโดยละเอียด เพราะการตัดสินใจในครั้งนี้คือการเอาความอยู่รอดของฟุตบอลลีกเป็นเดิมพัน บทเรียนที่เกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลอิตาลีนั้นก็เปรียบเสมือนกับแก้วที่แตกกระจายต่อให้ตายก็กลับมาสวยงามเหมือนเดิมไม่ได้นั่นเอง สุดท้ายนี้สื่อมวลชนต่างคาดการณ์ว่าสมาคมฟุตบอลอังกฤษจะให้ความชัดเจนกับทุกฝ่ายภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ก็ได้แต่หวังใจให้พวกเขาพบกับทางออกที่ดี เพื่อที่เราจะได้มีทีมฟุตบอลดี ๆ เอาไว้ดูนาน ๆ เครดิตภาพประกอบโดย : "พี่เก่ง" ไพบูลย์ ศรีพิทักษ์พงศ์ FB : Paiboon sripituckpong เครดิตรูปที่ 9 และ เครดิตรูปที่ 10 จาก sport.trueid.net