ไลฟ์แฮ็ก
บวกป่ะล่ะ! พลังบวกหลังความรุนแรง
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (2 พ.ย.63) ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวคราวที่แย่งพื้นที่หน้าสื่อและสายตาประชาชนไปกว่าค่อนประเทศคงหนีไม่พ้น ศึกฟาดกำปั้นกันระหว่าง 2 ดาราดังอย่าง "เชียร์ ทิฆัมพร" กับ "หมอเจี๊ยบ ลลนา" บนสังเวียนดาราที่ใช้ชื่อสุดคูลว่า "10 FIGHT 10" ใช่! สรรพคุณของรายการจากค่ายเวิร์คพอยต์คงไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ ไม่ว่าจะเป็นโปรดักชั่น , การดำเนินรายการ , หรือเนื้อหาสาระที่สุดจะครีเอทฉีกทุกกฎเกณฑ์! ความใหม่สดทำให้ผู้คนติดงอมแงม อีกทั้งคอนเซปรายการที่ว่า "ต่อยจริง เจ็บจริง" ยิ่งทำให้คนดูคาดเดาไม่ได้! เราไม่มีทางรู้เลยว่าแต่ละสัปดาห์จะเกิดอะไรขึ้น! และดาราจะต่อยกันเต็มที่แค่ไหน?
ถ้อยคำถามถูกส่งไปยังทั้ง 2 คน ผู้ซึ่งแบกภาพจำแห่งความเป็นนางเอกแถวหน้าเอาไว้ หลายคำครหาทายว่าพวกเธอคงแค่มาเล่นกัน อาจจะแค่มาต่อยแบบยิ้มๆ ขำๆ เหมือนกับการเข้ายิมฟิตหุ่น ซึ่งแสนจะไม่ใช่! ด้วยความสัตย์จริงว่าพวกเธอไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม! กัดกรามกรอด! เค้นสีหน้ามุ่งมั่นจริงจัง พลันสาดกำปั้นเข้าใส่กันราวกับโกรธกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน!! ผลการแข่งขันออกมาเช่นไรคงไม่ต้องบอก.. ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูแนะนำให้ไปย้อนดูใหม่ได้ทางช่องยูทูปของเวิร์คพอยต์ แล้วคุณจะเห็นในสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้...
Advertisement
Advertisement
เพราะมันมีแง่คิดที่น่าสนใจแฝงอยู่ การเอาดาราหญิงมาต่อยกันมหัศจรรย์ฉันใด.. หยาดเหงื่อแรงกายของพวกเธอก็ให้อะไรแก่เรามากมายฉันนั้น...
1. การเอาชนะตัวเอง
"หมอเจี๊ยบ" กับ "เชียร์" มีดีกรีเป็นถึงนางเอก นอกเหนือจากนั้นทั้งคู่ยังผ่านเวทีการประกวดและได้รับรางวัลชนะเลิศกันมาทั้งคู่ (เชียร์ : มิสทีนไทยแลนด์ปี 2002) , (หมอเจี๊ยบ : นางสาวไทยปี 2549) คำถามคือต้องใจกล้าบ้าบิ่นแค่ไหน ถึงกล้าเอาใบหน้าสวยๆ ของตัวเองเข้าไปรับหมัดคู่ต่อสู้ ขึ้นชื่อว่าดาราหน้าตาคือแหล่งทำมาหากิน จิตใจพวกเธอช่างกล้าหาญนัก.. เพราะในซีซั่นก่อน "กันต์ กันตถาวร" พิธิกรในรายการเคยสัมภาษณ์ดาราชายท่านหนึ่งที่มาร่วมเชียร์ว่าอยากขึ้นต่อยบ้างไหม? คำตอบของเขาคือ "ไม่!" พร้อมอ้างเหตุผลว่า บางทีอาจมีการปากแตก , มีเลือดไหล , เกรงว่าจะกระทบต่องานที่รับไว้.. นี่คือระดับพระเอกนะ? "พระเอก" เท่ากับ "ผู้ชาย" เปล่าวะ??
Advertisement
Advertisement
2. นึกถึงคำพูดของโค้ช "อ๊อด" อดีตผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติไทย
บรรทัดหนึ่งในหนังสือชีวประวัติแกเขียนว่า "ผู้หญิง! ลองได้กัดฟันสู้แล้ว จะมีความเอาเป็นเอาตายมากกว่าผู้ชายหลายเท่า" กรุณาเหลือบตาดูภาพของหมอเจี๊ยบข้างล่าง นาทีนั้นเธอตะโกนใส่ผู้ฝึกสอนอย่างเกรี้ยวกราด! บ่งบอกว่าเธอเอาจริง! สู้ตายถวายชีวิต! และโปรดหลุบสายตาลงมาอีกหน่อย เราจะเห็นภาพของเชียร์ ทีฆัมพร กำลังสวมใส่สายออกซิเจน คือสู้จนหมดแรงแล้ว.. หายใจแทบไม่ทัน.. คนดูอย่างผมนี่ขนลุกเกรียวเลยครับ ถึงกับปรบมือให้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์
3. ผลการตัดสินที่มากกว่าเกมกีฬา
แม้ว่าท้ายที่สุดเรื่องผลการแข่งจะกลายเป็นกระแสดราม่า มีชาวเน็ตมากมายค่อนขอดว่าเป็นการล็อคผล มีการตัดสินที่ค้านสายตาผู้ชมที่ดูเป็นเกมกีฬาหลายจุด แต่ในมุมของผมนั้น ผมรู้สึกว่าแค่พวกเธอทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เราเห็น พยายามฝึกซ้อมแม้จะมีคิวละครแน่นเอี๊ยด หรือจะเป็นหมอก็ใช่ว่าจะมีผู้ป่วยแค่วันละสิบคนซะเมื่อไหร่... ผลเสมอจึงไม่น่าเกลียด! ประเด็นคือสังคมไม่อยากเห็น "ใครเป็นฝ่ายแพ้" มากกว่า! มันเกินคำว่ากีฬาไปไกลแล้ว.. มันคืออารมณ์.. คือ Emotional... อย่าลืมสิว่าพวกเธอเป็นดาราไม่ใช่นักกีฬาอาชีพ ทำขนาดนี้ย่อมคู่ควรแก่การชูมือให้ทั้งสองฝ่าย.. เสมอไม่ได้แปลว่าเสมอ มันแปลว่า "ทั้งสองคือผู้ชนะ"
Advertisement
Advertisement
สรุปแล้วเคสนี้จึงเปรียบได้กับแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต หลายครั้งของบางอย่างมักมีโอกาสให้เราทำแค่ครั้งเดียว ดังนั้นพอเข้ามาแล้วก็จงทำให้ดีที่สุด! เฉกเช่นที่เชียร์ กับ หมอเจี๊ยบทำ! อย่างน้อยนักแสดง 2 ท่านนี้ก็ทำให้เราเห็นแล้วว่าการออกกำลังกายดีอย่างไร? มันให้มิตรภาพ , ให้ร่างกายที่แข็งแรง , แถมยังให้ปรัชญาแง่คิด โชคร้ายที่ความเป็นดาราทำให้พวกเธอมีเวลาแค่ 3 ยก 9 นาที กับคนธรรมดาอย่างเราอาจจะมีมากกว่า... หรือไม่ก็อาจจะน้อยกว่า... หากเรามัวแต่อ่าวโอ้ป่ายปัด..
กับบางคน "โอกาสอาจมีมาแค่ครั้งเดียว"
ขอบคุณรูปภาพประกอบบทความ : ภาพที่1ภาพที่2ภาพที่3ภาพที่4ภาพที่5ภาพที่6
ความคิดเห็น