คุณเคยฝันร้ายบ้างไหม? คำตอบนั้นคงมีแตกต่างกันไป อาจมีทั้งเคย และไม่เคย สำหรับคนที่เคย คุณยังจำความรู้สึกหลังจากที่เพิ่งผ่านการฝันร้ายได้บ้างไหมครับ จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง บางครั้งฝันร้ายนั้นให้ความรู้สึกที่เหมือนจริงมาก ถึงกับทำให้เราตกใจตื่นขึ้นมาเลยก็มี อาการทางกายก็เหมือนกับเราเพิ่งผ่านเหตุการณ์นั้นมาจริง ๆ อย่างหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่จึงน่าจะไม่อยากฝันร้ายกัน แต่จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งเจนีวา โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเจนีวา และมหาวิทยาลัยแห่งวิสคอนสินในอเมริกา พวกเขาได้พบเรื่องดี ๆ ว่า ฝันร้ายนั้นช่วยเตรียมเราให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ชวนระทึก ที่อาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง ขอบคุณภาพจาก: Pxhere.com มาถึงวันนี้ ความฝัน ยังคงเป็นเรื่องลี้ลับในแวดวงวิทยาศาสตร์อยู่ เรารู้ว่าทุก ๆ คนต้องเคยผ่านประสบการณ์การนอนในช่วงที่เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งเป็นช่วงเวลาการนอนหลับที่กล้ามเนื้อต่าง ๆ หยุดการทำงานหมด ยกเว้นในส่วนของ หัวใจ กระบังลม กล้ามเนื้อตา และกล้ามเนื้อเรียบ ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ทำงานอยู่เหนืออำนาจการควบคุมของจิตใจ เช่น ผนังท่อทางเดินอาหาร ผนังของระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น และความฝันก็น่าจะเกิดขึ้นในเวลาการนอนหลับช่วง REM นี้เอง ยังคงไม่ความชัดเจนว่า ทำไมมีบางคนบอกว่าตนเองไม่เคยฝัน หรือจริง ๆ พวกเขาฝัน แต่ว่าจำมันไม่ได้เมื่อตอนตื่นขึ้นมา เราอาจจะยังไม่เข้าใจกลไกการเกิดความฝันอย่างถ่องแท้ หรือไม่ได้ใส่ใจว่าทำไมคนเราถึงต้องฝัน อันที่จริงนักประสาทวิทยาจำนวนมากก็เชื่อกันมานานแล้วว่า ฝันร้ายนั้นช่วยให้เราปลดปล่อยความกลัวที่มีต่อเหตุการณ์ร้าย ๆ ซึ่งเราอาจต้องพบเจอในชีวิตจริง ออกมาก่อนที่มันจะเกิดขึ้น และการค้นพบครั้งใหม่ก็ช่วยให้ทฤษฎีนี้ดูมีน้ำหนักขึ้น ขอบคุณภาพจาก: Tim Sheerman-Chase | flickr [ Desaturated ] ภายใต้ CC BY 2.0 นักวิจัยได้ขอให้อาสาสมัครจำนวน 18 คน สวมอุปกรณ์ตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมองขณะที่พวกเขาหลับ กลุ่มอาสาสมัครจะถูกปลุกขึ้นมาหลายครั้งในระหว่างคืน เพื่อตอบชุดคำถามที่เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังฝันอยู่ ถ้าความฝันนั้นเกี่ยวข้องกับความกลัว คำตอบนั้นจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับคลื่นสมองของพวกเขาที่ถูกบันทึกไว้ในขณะที่หลับอยู่ จากการทดลอง นักวิจัยพบพื้นที่ 2 ส่วนในสมองของอาสาสมัครกลุ่มนี้ ซึ่งมีการทำงานแตกต่างไปจากสมองส่วนอื่น ๆ ในขณะที่พวกเขากำลังฝันร้ายอยู่ สมอง 2 ส่วนนี้ก็คือ Insula และ Cingulate Cortex ในช่วงเวลากลางวัน Insula จะเกี่ยวพันกับการแยกแยะและการประเมินการตอบสนองทางอารมณ์ ในขณะที่ Cingulate Cortex จะรับผิดชอบการเตรียมปฏิกิริยาของร่างกายเพื่อตอบสนองกับเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าเป็นอันตราย ที่รู้จักกันในชื่อของ "การตอบสนองแบบสู้หรือหนี" หรือ fight-or-flight response ในส่วนที่สองของการศึกษานี้ อาสาสมัครจำนวน 89 คน จะต้องทำการบันทึกความฝันรายวันของตัวเองเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นพวกเขาจะถูกนำตัวเข้าเครื่องสแกน MRI แล้วให้ดูชุดของภาพที่เป็นเรื่องราวของความทุกข์โศกขณะที่อยู่ในนั้น ในอาสาสมัครกลุ่มที่มีบันทึกว่าพวกเขานอนฝันร้ายบ่อย ๆ พบว่าสมองในส่วน Insula, Cingulate Cortex และ Amygdala ของพวกเขาตอบสนองต่อภาพเหล่านั้นน้อยกว่าของอาสาสมัครในกลุ่มที่ไม่ค่อยฝันร้ายหรือไม่ฝันร้ายเลย ซึ่ง Amygdala นั้น เป็นที่รู้จักกันในฐานะ "ศูนย์กลางความกลัวของสมองมนุษย์" ยิ่งไปกว่านั้น ในกลุ่มอาสาสมัครที่ฝันร้ายบ่อยกว่า จะพบการเคลื่อนไหวในสมองส่วน Medial Prefrontal Cortex ซึ่งมีหน้าที่ลดการตอบสนองต่อความกลัวมากกว่าอีกด้วย ขอบคุณภาพจาก: Pxhere.com คุณ Lampros Perogamvros อาจารย์อาวุโสประจำศูนย์เวชศาสตร์การนอนหลับ ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเจนีวา ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัยของโครงการนี้ กล่าวสรุปไว้ว่า "เราอาจถือว่า ความฝันนั้นเป็นการฝึกฝนที่แท้จริง สำหรับการตอบสนองในอนาคตของเรา และมันอาจเตรียมเราให้พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง" หรือนี่คือ...เหตุผลที่แท้จริงของธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์เราเกิดมาพร้อมความฝัน คือเพื่อเตรียมเราให้พร้อมรับกับความจริงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นในครั้งต่อไปที่คุณฝันร้าย ให้คุณระลึกถึงเรื่องนี้ แล้วฝันร้ายนั้นก็จะไม่เลวร้ายอีกต่อไป... เครดิตภาพหน้าปก: ปรับปรุงจาก Pexels.com และ Pxhere.com