ภาพโดย : pixabay การเรียนรู้เรื่องราวในอดีตหรือประวัติศาสตร์ทำให้เราเข้าใจปัจจุบันและอนาคตมากขึ้น อย่างไรก็ตามหลายคนอาจสงสัยว่าประวัติศาสตร์ คืออะไร ประวัติศาสตร์ คือ ความจริงหรือไม่ แล้วพวกเรื่องเล่า ตำนาน นิทาน และหลักฐาน/เอกสารต่างๆ เช่น พงศาวดาร หรือจารึกต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อย่างไร ดังนั้นในวันนี้ผู้เขียนจะมาเล่าทำความเข้าใจเรื่องว่าด้วย “ประวัติศาสตร์” ง่าย ๆ ประวัติศาสตร์มีหลายหลายความหมายตามที่นักประวัติศาสตร์จะนิยามตามทัศนะหรือฐานคติของตน ซึ่งเมื่อนำมาสรุปแล้วอาจสามารถแบ่งได้ 2 ความหมายหลัก ได้แก่ 1. ประวัติศาสตร์ คือ เรื่องราวความเป็นจริงในอดีตทั้งหมด 2. ประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตภาพโดย : pixabay จากที่กล่าวมาประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องของการศึกษาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต โดยนักประวัติศาสตร์จะนำหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เช่น เรื่องเล่าจากความทรงจำ ตำนาน นิทาน และศิลาจารึก เป็นต้น นำมาวิเคราะห์ให้ค่า พิจารณาความน่าเชื่อ การตีความ และการนำความรู้จากศาสตร์ต่างๆ มาช่วยในการวิเคราะห์/อธิบายเรื่องราวในอดีต เช่น โบราณคดี และมานุษยวิทยา จากนั้นจึงได้ชุดความรู้ชุดหนึ่งแล้วนำมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราวหรือประวัติศาสตร์นั้นเอง ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงเป็นการศึกษาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุด คือ การรู้เรื่องราวความเป็นจริงในอดีตทั้งหมดภาพโดย : pixabay อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์จึงเป็นการศึกษาเรื่องราวในอดีตภายใต้หลักฐานที่นักประวัติศาสตร์มีอยู่ในช่วงนั้น ๆ หากในเวลาต่อมาพบหลักฐานชิ้นใหม่ที่ทำให้เกิดความเข้าใจในรูปแบบใหม่ หรือมีการตีความหลักฐาน/เรื่องราวโดยมุมมองแบบใหม่ ภายใต้ระเบียบวิธีทางประวัติศาสตร์ ก็ย่อมจะทำให้ประวัติศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น ประวัติศาสตร์กับความ “จริง” จึงไม่เท่ากัน นอกจากนั้น อาจมีคนสงสัยว่า การทรงเจ้าเข้าผีหรือสื่อถึงวิญญาณต่างๆ เช่น บางรายการในปัจจุบัน ซึ่งนำคนที่อ้างว่าสื่อกับวิญญาณได้แล้วมาเล่าเรื่องราวในอดีต โดยอ้างว่าสิ่งที่เล่ามาจากสิ่งที่ได้เห็นฟังจากการสื่อกับวิญญาณหรือมีญาณอะไรก็ตามแต่ จึงไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เนื่องจากไม่ได้มีการศึกษาตามระเบียบวิธีทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นเพียงเรื่องเล่าของคนหนึ่งๆ เท่านั้น ทว่าสิ่งที่น่าสนใจ คือ หากเรื่องเล่าดังกล่าว กลายเป็นความทรงจำกระแสหลักของสังคม เรื่องเล่านั้นก็อาจกลายเป็นความทรงจำร่วมของสังคม ซึ่งก็ย่อมส่งผลต่อการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ในอนาคตได้ จากที่กล่าวมา ประวัติศาสตร์จึงอาจจะไม่ใช่หมายถึงความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต เป็นแต่เพียงการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจอดีตเท่านั้น ดังนั้น ตราบใดที่เรายังไม่สามารถย้อนเวลาไปได้หรือเราไม่มีกล้องวงจรปิดในอดีต เราก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวในอดีตจริงเป็นอย่างไร หรือถึงแม้เราอาจจะรู้เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด (ย้อนอดีตได้) แต่ก็ไม่ใช้หมายความว่าจะได้รู้ “ความจริง” เพราะ สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่ความจริงก็ได้ ซึ่งหากมีโอกาสจะเล่าในบทความต่อ ๆ ไป สุดท้ายแล้วที่เขียนบทความนี้ก็เพื่อจะให้เข้าใจว่า เรื่องเล่าจากทรงเจ้าเข้าผีไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นแต่เพียงความบันเทิงฟังขำ ๆ และไม่ควรนำสิ่งที่ฟังเห็นขำ ๆ คิดว่าเป็นประวัติศาสตร์จริง ๆ ก็แล้วกัน ภาพโดย : pixabayภาพหน้าปกโดย : pixabay เรียบเรียงโดย : Ballack007