สวัสดีค่าา กลับมาพบกันอีกครั้งในหัวข้อของประสบการณ์ค่ายฤดูร้อนที่ประเทศจีนกันนะคะ รอบที่แล้วเราได้พูดถึงเรื่องของการเป็นอยู่และสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเซี่ยงไฮ้ไปแล้ว คราวนี้เราจะกลับมาพูดถึงอีกเมืองที่เราได้ไปมาคือ เมืองหนานจิงนั่นเองค่ะ จะเป็นยังไงนั้นเราไปดูกันเลยค่าา การเดินทางไปเมืองหนานจิง เราได้นั่งรถบัสไปนะคะ เพราะเค้าบอกว่าเมืองอยู่ใกล้กัน ไม่จำเป็นต้องนั่งเครื่องบินก็ได้ ซึ่งระยะเวลาในการเดินทางจากเซี่ยงไฮ้ไปหนานจิงเป็นเวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงค่ะ รถบัสวิ่งบนทางด่วน ดังนั้นพวกเราจึงสามารถนั่งคุยกันเล่นกันได้สบายๆ เพราะรถขับไปเรื่อยๆ เลยค่ะ ไม่มีอาการเมาหัวด้วยเพราะรถไม่ติดเลย ระหว่างทางพวกเราก็เล่นเกมกัน หรือไม่ก็หาเพลงเปิดแล้วร้องเพลงคลอกันไปตลอดทาง ผ่านไปสองชั่วโมงทุกคนเริ่มเพลียและก็พากันหลับในที่สุดค่ะ ตื่นอีกทีก็ปั๊มน้ำมันเลย มีให้แวะห้างซื้อของด้วย แต่เราไม่ได้ลงไปเพราะเห็นแดดแล้วไม่ขอสู้ดีกว่าค่ะ ฮ่าๆๆ เข้าเมืองแล้ววว หลังจากที่ผ่านประตูเมืองหนานจิง เขาก็ขับต่อไปอีกประมาณเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงโรงแรมที่เราไปพักค่ะ ตัวโรงแรมหรูมากกกกก เขาปูพรมกับฉาบผนังเป็นสีแดงหมดเลยค่ะ รู้สึกเหมือนกับงานแต่งเว่อร์ >< เราก็รอรับคีย์การ์ดเหมือนกับตอนแรกเลยค่ะ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันขึ้นไปจัดของในห้องใครห้องมัน เนื่องจากว่าช่วงที่ไปถึงมันเป็นช่วงค่ำๆ แล้วจึงไม่มีตารางต้องออกไปไหน พวกเราจึงสามารถเกาะกลุ่มกันเล่นเกมได้ดยไม่ต้องห่วงเวลาเลยย ในคืนนั้นมีรุ่นพี่ใจดีสั่งชานมไข่มุกมาเลี้ยงน้องๆ คนละแก้ว ตื่นมาวันต่อไปเลยตัวบวมกันหมดเลยค่ะ5555 วันต่อมา เราได้เดินทางไปปีนเขากันค่ะ ซึ่งบอกเลยว่า เป็นการปีนเขาที่ทรมานที่สุดในชีวิตเลย55555 เพราะว่าวันนั้นเป็นวันที่อากาศถึงขั้นร้อนจัดเลย แล้วระยะทางในการปีนก็ไม่ใช่เล่นๆ (เค้าจะอารมณ์ประมาณขุนตาลของบ้านเราค่ะ) ทุกคนเลยร้องโอดร้องโอยไปตามๆ กัน แต่ข้างบนลมโกรกเย็นสบายและที่สำคัญคือวิวดีด้วย ไม่รู้สึกเสียดายเลยที่อดทนปีนขึ้นมาจนถึงยอดเขา ข้างบนมีที่ให้นั่งพักชมวิวสวยๆ ด้วยค่ะ ตอนนั้นหันไปเห็นกระเช้าแล้วก็แอบเสียดายที่ไม่ได้นั่ง เพราะครูประจำค่ายเราบอกว่า เนี่ย เดินขึ้นมามันได้บรรยากาศมากกว่า ซึ่งมันก็จริงค่ะ เพราะทุกคนก็พากันเดินขึ้นอย่างทุลักทุเล เดินบ้างหยุดบ้าง มันได้บรรยากาศมากกว่าจริงๆ ตอนขาลงสบายหน่อยค่ะเพราะเป็นทางลง ทุกคนรีบวิ่งลงไปที่รถกันสุดๆ เพราะโหยหาแอร์เย็นๆ กันมากกก พอได้ขึ้นรถแล้วอย่างกับสวรรค์เลยค่ะ ตอนแรกคิดว่ากิจกรรมช่วงบ่ายคงสบายๆ แหละมั้ง ไม่เหนื่อยมากหรอก แต่ผิดถนัดเลยค่ะ พอเรากินข้าวเสร็จแล้ว ช่วงบ่ายเขาก็พาพวกเราไปที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งมันกว้างใหญ่มากทุกคน มีทะเลสาบที่ใหญ่มากๆๆๆ แถมยังมีสระบัวอีก สวยมากๆ เลยค่ะ เดินเข้าไปตรงส่วนที่เป็นทะเลสาบมีบริการเช่าเรือเป็ด 1 ชั่วโมง 180 หยวน! กลุ่มเราก็ไม่พลาดค่ะ กลุ่มเรามี 6 คน ซึ่งพอดีกับที่นั่งเรือเป็ดเป๊ะๆ เลย พวกเราเลยตกลงกันว่าหารกันคนละ 30 หยวนแล้วกัน โดยที่พี่โตสุดจะเป็นคนขับเอง เรื่องบรรยากาศ สำหรับเราเราว่าดีเลยค่ะ วันนั้นมันตรงกับวันหยุดพอดี คนเลยไปเที่ยวกันค่อนข้างเยอะ ซึ่งมันก็ได้บรรยากาศของการไปเที่ยวมากๆ เลย น้ำสีสวยมากกก ไม่ใสนะคะ แต่ก็ไม่ขุ่น ออกจะสีเขียวมรกตเลยค่ะ หลังจากขึ้นจากเรือเป็ดกันแล้ว เราก็ขึ้นไปวัดกันค่ะ เดินขึ้นอีกแล้วอ่ะทุกคน อารมณ์เหมือนวัดดอยสุเทพเลย มีบันไดเยอะๆ ชันๆ แต่ก็อดทนกันจนขึ่นไปถึงในที่สุด วัดสวยมากๆๆ แล้วก็สงบมากด้วยค่ะ พวกเราไปนั่งพักกันอยู่บนวัดนานมาก บางคนก็แวะถ่ายรูปกันทั่วทุกมุมเลย ส่วนเรา นั่งพักค่ะ เล่นมือถือรอพี่ๆ ถ่ายรูปกัน ตอนนี้แหละ ตอนที่ตัดสินใจจะกลับกัน ฝนดันตกมาหนักมากกก หนักมากจนร่มพังอ่ะทุกคนน ทั้งลมทั้งฝน ทุกคนเลยติดแหง็กกันอยู่บนวัด ลงมาไม่ได้เลยค่ะ อยู่บนนั้นยาวเกือบชั่วโมงกว่าฝนซา เราถึงลงมาได้ วันนั้นทุกคนกลับโรงแรมด้วยความเหนื่อยล้ากันมากๆ ถึงห้องปุ๊บก็นอนกันยาวๆ ไปเลยค่ะ วันที่สามในหนานจิง ฝนตั้งเค้าจะตกตั้งแต่เช้าเลยค่ะ ตอนแรกครูประจำค่ายคนนึงบอกว่าจะแคนเซิลกิจกรรมดีมั้ย เพราะว่าดูพยาการณ์อากาศแล้วเหมือนพายุจะเข้า แต่ครูอีกคนเขาก็บอกว่าไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ออกไปเที่ยวเถอะ ฝนตกขึ้นมาก็ไม่เป็นไรหรอก ตัดสินใจดังนั้นทุกคนก็ไม่ลืมพกร่ม (ที่ไปหาซื้อมาใหม๋เพราะพังไปเมื่อวานแล้ว) ไปด้วย เมื่อล้อหมุนออกจากโรงแรมได้ไม่ถึงห้านาที ค่ะ ฝนตกลงมาเลย หนักมากด้วย ที่แรกที่พวกเราไปคือเมืองโบราณค่ะ ตัวเมืองเค้าจะมีทั้งสิ่งก่อสร้างเก่าๆ รวมไปถึงเปิดเป็นตลาด เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้แวะซื้อของฝากกลับไปฝากครอบครัวกันด้วย รถปล่อยพวกเราลงที่หน้าเมืองโบราณค่ะ ห่างออกมาเกือบห้าร้อยเมตร ต้องเดินเข้าไปเพราะว่ารถติดมากๆ พอเดินไปถึงข้างในครูก็บอกว่า เราจะนั่งเรือยนต์กันนะ และใช่ค่ะ พวกเราก็ได้นั่งเรือที่โคลงเคลงสุดๆ เพราะเม็ดฝน เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่จะจำไม่เคยลืม เราเมาเรือค่ะ555555 พอขึ้นมาแล้วก็แยกย้ายกันไปเดินเที่ยวตามอัธยาศัย เพราะในเมืองโบราณนี้มีร้านค้ามาขายเยอะมาก ทั้งอยู่ใต้ดิน อยู่ชั้นลอย มีหมดเลยค่ะ ตรงนี้เลยได้แยกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มชาวไทยกับชาวต่างชาตินั่นเอง สายช้อปปิ้งอย่างเราๆ ก็หอบหิ้วถุงกระดาษกันคนละถุงสองถุงกลับมา พวกฝรั่งเขาก็ขำๆ กันเพราะเขาเน้นไปถ่ายรูปกันมากกว่ามาเดินช้อปปิ้งแบบเรา หลังจากไปทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เราก็เดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์ต่อเลยค่ะ ตอนที่ไปถึงเนี่ย ตรงทางเข้ามันมีน้ำนองที่พื้นเยอะมาก เราเลยต้องพากันลุยเข้าไป ไปถึงก็เปลี่ยนรองเท้าแตะกันเลยค่ะ และเพราะว่าอากาศไม่เป็นใจ ทำให้เราเลือกที่จะไม่เข้าไปเดินในตัวพิพิธภัณฑ์กัน แต่ว่านั่งรอเวลาข้างนอกเอาค่ะ พอถึงเวลารถมารับก็กลับโรงแรมกันด้วยสภาพที่เปื่อยเหมือนผักเลยค่ะ เป็นอีกวันที่เหนื่อยมากๆ เลย กว่าจะถึงโรงแรมก็ค่ำๆ เลยค่ะ เพราะไปแวะทานข้าวที่ร้านอาหารข้างนอกกันด้วย เป็นอีกวันที่คิดถึงเตียงนอนเป็นพิเศษเลย ฮ่าๆๆ (วันนี้เราไม่ได้ถ่ายรูปเลยค่ะ เพราะฝนตกทั้งวัน และเมืองจีนก็เป็นเมืองแห่งความเร่งรีบอีกด้วย เลยไม่กล้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเลย ToT) วันสุดท้ายในการอยู่ที่หนานจิง ทุกคนตื่นมาก็พากันแพ็คกระเป๋ากลับ เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมตอนเก้าโมงเช้า และสถานที่สุดท้ายที่เราได้แวะไปเที่ยวในเมืองหนานจิงก็คือมหาวิทยาลัยหนานจิงนั่นเองค่ะ เขาก็พาเราเข้าไปเยี่ยมชมทั้งการเรียนการสอน ตึกเรียนต่างๆ ที่สำคัญที่สุดบรรยากาศในการเรียนดีมากเลยค่ะ แถมสภาพแวดล้อมก็สวยมากๆ ตัวอาคารเรียนออกแนวตะวันตกนิดหน่อย ภาพรวมน่าเรียนเลยค่ะ ถ้าใครสนใจเรียนต่อในเมืองจีนแต่ยังหาเมืองที่น่าสนใจไม่ได้ เราแนะนำมหาลัยนี้เลยค่ะ ระหว่างรอรถบัสมารับกลับก็ไปเตะบอลเล่นกันที่สนามกีฬาของมหาลัยค่ะ ตรงนี้ถือว่าดีเลย นักกีฬาเยอะ แถมไม่พออากาศดีมากๆ (เพราะเมื่อคืนฝนตกเลยมีกลื่นดินปน) มันเป็นอากาศที่ไม่ร้อนและไม่ชื้นจนเกินไปค่ะ พอรถมาถึงเราก็ขึ้นรถกลับเซี่ยงไฮ้เพื่อไปสอบและปิดค่ายค่ะ การสอบครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับประเทศก็คือการเอาข้อสอบของ HSK มาให้ทำนั่นแหละค่ะ แต่จะเป็นการสอบในระดับที่สูงขึ้น อย่างเช่น ถ้าเรายื่น HSK ระดับ3 เราจะต้องสอบ HSK ระดับ4 ก่อนกลับนั่นเองค่ะ เค้าจัดการสอบครั้งนี้เพื่อวัดว่าเรามีพัฒนาการขึ้นมากน้อยแค่ไหนนั่นเองค่ะ ซึ่งสำหรับเราเราว่ามันช่วยได้เยอะมากๆ การมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ภาษาจีน มันทำให้เราคุ้นเคยในการใช้ภาษาของเขาได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้น ใครที่อยากเรียนต่อทางสายภาษาเราแนะนำให้ต่อในต่างประเทศเลยนะคะ เพราะเราจะได้ประสบการณ์ทางด้านการสื่อสารมากยิ่งขึ้นค่ะ และเมื่อการสอบผ่านพ้นไป ทุกคนก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก วันก่อนจะกลับทุกคนต้องมารวมกันในห้องประชุมอีกครั้ง เพราะจะเป็นการกล่าวอำลาและมอบเกียรติบัตรให้กับนัดเรียนทุกคนเลย ในตอนนี้มีทีมงานของค่ายได้เตรียมวิดีโอทั้งหมดไว้ด้วย ซึ่งเราแอบน้ำตาคลอด้วยค่ะ เพราะชาวงเวลา 11 วันที่ได้อยู่ด้วยกันมันมีความหมายมากๆ เลยค่ะ พอพิธีต่างๆ จบลง พวกเราก็ออกไปเที่ยวห้างด้วยกันอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกลับโรงแรมมาด้วยความเหนื่อยล้า เราไปรวมกันตรงห้องนั่งเล่นของโรงแรม เพราะมันเป็นที่ที่พวกเราใช้นั่งเล่นและพูดคุยกันตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่เริ่มสนิทกัน พวกเรานั่งเล่นเกมกันจนลืมเวลา คุณป้าแม่บ้านเขาก็มาไล่เพราะว่ากลุ่มเราเสียงดังมากค่ะ ฮ่าๆๆ หลังจากนั้นก็ได้อพยพย้ายไปที่ห้องของเพื่อนฝรั่ง ใช่ค่ะ ทั้ง 16 คนเข้าไปกองกันอยู่ในห้องเดียว ซึ่งยัดกันได้ยังไงคือไม่ต้องพูดเลยค่ะ แบ่งกันนั่งเตียง บางส่วนก็นั่งพื้นค่ะ คืนนั้นทุกคนอยู่กันถึงตีสามเลย (แต่เรากับพี่อีกคนขอแยกตัวออกมาก่อน เพราะว่าง่วงมากๆ) และก็อย่างว่าค่ะ งานเลี้ยงย่อมมวันเลิกรา กลุ่มนักเรียนไทยต้องกลับก่อน เพราะได้ไฟลท์บินเช้า ฝรั่งก็น่ารักค่ะ อุตส่าห์ตื่นมาส่งกันด้วย น่ารักมากๆ เลย พวกเรากลับมาถึงไทยด้วยความรู้สึกโหวงๆ ในใจ เพราะมันเป็นการจากลาที่ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ แต่ละคนมาจากต่างที่ต่างโรงเรียน จะนัดรวมกันมันก็เป็นเรื่องยากมากๆ แต่พวกเราก็ยังติดต่อกันตลอดค่ะ ทั้งทางไทยและทางฝรั่งเขา มันคือมิตรภาพที่ดีจริงๆ ค่ะ เราอยากจะขอบคุณค่ายดีๆ ในครั้งนี้มาก ที่ทำให้เราได้ประสบการณ์ในการใช้ชีวิต และได้เพื่อนดีๆ แบบนี้ เราอยากฝากไว้ว่า โอกาสมันมีไม่มาก ถ้าโอกาสมันเข้ามาแล้วเราก็คว้ามันมาเลยค่ะ อย่าปล่อยผ่านเด็ดขาด ของแบบนี้ไม่ได้อยู่โชคหรือดวง แต่เมื่อเราได้รับโอกาสนั้นๆ เราก็ควรรับมันมาและใช้มันอย่างคุ้มค่าค่ะ สำหรับวันนี้ สวัสดีค่าาา Cr.ทีมถ่ายภาพประจำค่ายและจากอัลบั้มของเรา