สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่นับเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่เราประทับใจมากที่สุดให้ทุกๆคนได้อ่านกันค่ะ ก่อนอื่นคือต้องเกริ่นก่อนว่า ค่ายที่เราไปนี้เป็นค่ายที่ทางสถาบันขงจื่อกับทางโรงเรียนของเราได้ทำ MOU ไว้ และในทุกๆสองปี จะมีทุนที่พานักเรียนจำนวนหนึ่งไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ประเทศจีนเป็นเวลา 13 วันด้วยกัน (รวมวันไปกลับ) ส่วนเมืองที่จะได้ไปก็แรนดอมเอาว่าปีนี้จะได้ไปเมืองไหนน้า ในปีที่เราได้ทุนคือปี 2018 เราได้ไปที่ เซี่ยงไฮ้ ค่ะ พ่วงกับความโชคดี ระหว่างที่อยู่เซี่ยงไฮ้ก็ยังมีทริปไป หนานจิง หรือ นานกิง 4 วัน 3 คืนกันอีกด้วย ส่วนใครที่สงสัยว่าทางสถาบันเลือกคนไปยังไง ตรงนี้แล้วแต่ว่าเราสนใจไหม ถ้าเราสนใจก็ยื่นเรื่องกับครูที่ดูแลเรื่องค่ายแล้วก็ยื่นผลสอบ HSK ให้กับครูค่ายได้เลยค่ะ (ควรจะมีนะคะ) เขาจะนำผลสอบของเราไปพิจารณา ยิ่งคะแนนเราดีเท่าไหร่ก็จะมีโอกาสติดทุนมากขึ้นเท่านั้น เดี๋ยวเราจะเพิ่มเนื้อหาทุนไว้ด้านล่างนะคะ ตอนนี้ไปดูกันเลยค่ะว่าเราไปที่ไหนมาบ้าง >< ครูประจำค่ายนัดพวกเราไปเจอกันที่สนามบินก่อน 10 โมง พอไปถึงก็รอเช็คอินกัน ระหว่างนั้นก็เป็นการทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมทริปไปในตัว หลังจากเช็คอินกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พากันไปนั่งรอใน Gate เพราะครูประจำค่ายกลัวจะตกเครื่องค่ะ ด้วยความที่ครูเขาก็เป็นคนจีน เรื่องเวลาจึงสำคัญมากๆเลยค่ะ เครื่อง Take off จากเชียงใหม่ตอนบ่ายโมงค่ะ บนเครื่องบรรยากาศก็ไม่ได้เหงาเท่าไหร่ เพราะเรานั่งคุยกับพี่ที่นั่งข้างๆตลอด 5 ชั่วโมงเลย (หรือจริงๆแล้วก็เหงากันนะ) จนในที่สุดเครื่อง landing ที่สนามบินเซี่ยงไฮ้ประมาณหนึ่งทุ่มค่ะ (เวลาจีน) กว่าจะออกจากสนามบินได้ก็ปาไปทุ่มกว่าๆแล้วเพราะตม.แถวยาวมากกกกกก หลังจากออกจากสนามบินมาแล้วก็จะมีรถบัสมารับเราไปส่งที่โรงแรมเลยค่ะ ระหว่างทางจากสนามไปโรงแรมใช้เวลาเกือบชั่วโมงแหนะ สรุปกว่าจะถึงโรงแรมก็เกือบๆสามทุ่มเลย พอไปถึงเราก็จะต้องรอเขาจับคู่รูมเมทให้เราและรอรับคีย์การ์ดก่อน หลังจากได้รูมเมทและคีย์การ์ดแล้วเขาก็เอาสมุดคู่มือกับหมวกค่ายให้เรา แบบในรูปข้างบนเลยค่ะ ในเล่มคู่มือมีทั้งกำหนดการ ตารางเรียนเช้าบ่าย สถานที่ที่เราจะได้ไปเที่ยวในเวลา 11 วัน แล้วก็มีรายชื่อนักเรียนทั้ง 16 คนด้วย ตอนแรกเราเห็นว่ามี 16 คนเราก็ตกใจมาก เพราะเราเดินทางไปกัน 10 คน สรุปมารู้ทีหลังว่ามีนักเรียนชาวต่างชาติอีก 6 คน ลมแทบจับ เพราะเราเป็นประเภทที่กลัวการทำความรู้จักกับชาวต่างชาตินิดหน่อยค่ะ แต่ก็บอกตัวเองให้ฮึบไว้ ยังไงต้องอยู่ด้วยกันไปอีกตั้ง 10 กว่าวัน แค่นี้เองทำไมจะผ่านไปไม่ได้...และใช่ค่ะ เมื่อมาเจอกันในวันแรกเราเกร็งมากๆ คิดในใจแล้วว่าเราจะสนิทกับเขาได้จริงๆเหรอ เพราะเขาก็ดูจะไม่ได้อยากสนิทกับเราเท่าไหร่ด้วย แต่ก็ไม่เป็นไร ยิ้มสู้ค่ะ วันแรกไม่มีอะไรเลยนอกจากการมาแนะนำตัวแล้วก็มีกิจกรรมละลายพฤติกรรมกันนิดหน่อย หลังจากนั้นเราก็ได้พักผ่อนตามอัธยาศัยเลย แต่เรื่องพีคมันมีตรงที่ครูประจำค่ายเขาไม่ยอมให้เราออกจากโรงแรมเลย! ประเด็นคือด้านข้างโรงแรมเรามีร้านสะดวกซื้อค่ะ พวกเราก็เลยอยากจะออกไปซื้อขนมกัน สรุปยามเฝ้าประตูบอกว่าออกไปไม่ได้ ตอนนั้นเราแบบ เฮ้ย อะไรอ่ะ แบบนี้ก็ได้หรอ แล้วชีวิตเราก็อยู่ในวังวนเดิมไปตลอดหนึ่งอาทิตย์เลยก็คือ เช้าเรียนภาษา กลางวันพักสองชั่วโมง บ่ายเรียนวัฒนธรรม ในส่วนของวัฒนธรรมเราได้เรียนทั้งหมด 5 อย่างค่ะ มีตัดกระดาษจีน ถักเชือกจีน ระบายสีหน้ากากงิ้ว ร้องเพลงจีน และ การชงชาค่ะ (เดี๋ยวรูปผลงานเราจะแนบไว้ด้านล่างเลยนะคะ) ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์สถานการณ์ระหว่างนักเรียนไทยกับต่างชาติก็ดีขึ้นค่ะ เพราะว่ามันมีเย็นวันนึงที่เราขอครูประจำค่ายออกไปข้างนอกกันสำเร็จ ระหว่างทางเดินไปห้างที่ใกล้ที่สุดก็มีคุยกันบ้าง กลายเป็นว่าสนิทกันขึ้นมาเฉย เราถึงได้รู้ว่าการนั่งเรียนอยู่ในห้องมันเทียบกับการปล่อยให้นักเรียนได้รู้จักหรือสนิทกันด้วยการออกไปทำกิจกรรมข้างนอกด้วยกันไม่ได้เลย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของทุนนะคะ ทุนประเภทนี้เนี่ย เป็นทุนที่ทางสถาบันขงจื่อเขาจะให้เฉพาะโรงเรียนที่ทำ MOU ไว้เท่านั้นนะคะ เพราะฉะนั้นจะมีแค่บางโรงเรียนที่จะได้รับทุนค่ะ ในการยื่นทุน เราต้องมี HSK เท่านั้นนะคะ มีระดับไหนสูงสุดก็ยื่นไปเลยค่ะ เพราะนอกจากเขาจะพิจารณาจากคะแนนแล้ว เขายังพิจารณาจากระดับด้วย อย่างเช่น สมมติว่ารับทุน 10 คน แล้วมีคนยื่นทุน 11 คน แล้วเรามี HSK ระดับ2 ในขณะที่คนอื่นมี HSK ระดับ3 เราก็จะหมดสิทธิ์ได้ง่ายๆ เลยค่ะ หรือถ้ากลับกัน ทุกคนยื่น HSK ระดับ3 กันหมด คนที่คะแนนน้อยที่สุดก็จะอดเลยนะคะ เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีระดับที่สูงกว่าก็สบายใจยิ่งขึ้นค่ะ การใช้ชีวิตในประเทศจีน สำหรับเรามันไม่ได้แย่เลยค่ะ ออกจะดีด้วยซ้ำ เพราะว่าบ้านเมืองเค้าเป็นระบบมากกว่าบ้านเรา การเดินทางก็ค่อนข้างสะดวกสะบาย เพราะคนจีนนิยมขึ้นรถโดยสารประจำทางกัน สำหรับเรื่องที่ใครหลายๆ คนอาจจะอยากรู้ว่า ถ้าไปเรียนที่จีนแล้วไม่มีพื้นฐานภาษาจีนเลยจะรอดมั้ย คือในมุมมองเราแล้วเนี่ย มันก็รอดค่ะ แต่เราว่าถ้ามีพื้นฐานจะดีกว่านะคะ เพราะว่าคนจีนแผ่นดินใหญ่บางส่วนเขาสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะฝึกพูดไว้บ้าง อย่างน้อยถ้าใช้ประโยคในชีวิตประจำวันได้ก็อุ่นใจแล้วค่ะ อาหารจีน อร่อยค่ะ บางอย่างอาจจะไม่ถึงกับถูกปาก แต่ก็กินได้แน่นอน บางอย่างเค้ารสชาติเหมือนอาหารไทยเราเลย ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ สำหรับอาหารประทังชีวิตอย่างมาม่าแล้วเนี่ย ถือได้ว่าอร่อยไม่แพ้ของไทยเราเลยนะคะ โดยเฉพาะเจ้ามาม่าถ้วยแดง (เด็กที่ค่ายเรียกกันแบบนั้นค่ะ ฮ่าๆๆ) มันอร่อยและให้อารมณ์คล้ายๆ กับต้มยำกุ้งบ้านเราเลยย หมดช่วงอาทิตย์แรกแล้ว ทุกคนก็ดูจะสนิทกันดีแล้ว ช่วงอาทิตย์ที่สองคือเป็นสวรรค์ของเราเลยค่ะ เป็นช่วงการตลอนทัวร์ในเมืองเซี่ยงไฮ้และรวมถึงทริปที่ไปหนานจิงอีกด้วย พอรู้ว่าอาทิตย์ที่สองจะได้เที่ยวพวกเราก็ดีใจกันมากๆ หลังจากที่ถูกกักตัวอยู่ในโรงแรมเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ที่แรกที่พวกเราประเดิมก็คือ Shanghai Jiaotong University เลย แต่ว่าปัญหาคือฝนตกหนักมาก แล้วพวกเราเดินเท้ากันด้วย ทำให้มหาลัยเขาไม่ได้ให้เราเข้าไปดูข้างในกันชัดๆ แต่ก็ยังพอจะโชคดีที่เขาอนุญาตให้เข้าหอสมุดได้ ซึ่งขอบอกเลยว่าหอสมุดของมหาลัยนี้น่านั่งมากๆเลยค่ะ กว้างใหญ่ไพศาล และที่สำคัญ หนังสือเพียบบบ ใครสายหนอนหนังสือนี่ห้ามพลาดเลย พวกเราไปรอในหอสมุดกันจนฝนหยุดตกจึงเดินกลับโรงแรมของเราเหมือนเดิม ระหว่างทางนี่แหละ ฝรั่งเขาก็มี dad joke ของเขามาเล่นให้ฟัง เราก็เล่นของฝั่งเราบ้าง ทำให้พวกเรายิ่งสนิทกันมากขึ้นไปอีก พอกลับมาถึงโรงแรมเราก็เข้าห้องใครห้องมันไปอาบน้ำแล้วก็มารวมกันที่ห้องคนใดคนหนึ่งเพื่อนั่งเล่นนั่งคุยกัน พอเริ่มดึกก็แยกย้ายกันไป เป็นแบบนี้ในทุกๆคืน วันต่อมาพวกเรานั่งรถนานมากกกก นานจนคิดว่า เฮ้ย ออกนอกเมืองแล้วมั้งเนี่ย จริงๆไม่ใช่เลย พวกเรากำลังเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองกันต่างหาก และสถานที่ที่เราไปกันก็คือ หอไข่มุกนั่นเอง! เป็นอีกหนึ่ง landmark ที่ถ้าเกิดว่าได้มาเซี่ยงไฮ้ ก็ต้องมาถ่ายรูปกับเจ้าหอไข่มุกนี้ให้ได้ เราก็ไปจัดการเก็บภาพมาเรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวแนบรูปไว้ข้างล่างนี้เลยค่า หลังจากนั้น เราก็คิดว่า เออวันนี้เที่ยวจนเต็มอิ่มแล้วแหละ ไม่น่าจะมีอะไรแล้วมั้ง แต่ผิดถนัด ครูประจำค่ายบอกว่าจะพาขึ้นเรือยอร์ชด้วย เรือยอร์ชจะพาเราไปดูหอไข่มุกอย่างใกล้ชิดในตอนกลางคืน ซึ่งมันสวยมากๆๆ แต่ว่าตอนเราอยู่ในเรือเราไม่ได้เก็บภาพมาเลยเพราะว่าตรงดาดฟ้าคนเบียดกันมาก ทำให้เราเลือกที่จะลงมาอยู่ชั้นหนึ่ง (เรือมี 3 ชั้น) เกาะกลุ่มกันแล้วก็นั่งมันกลางเรือเลย ถามว่าทำอะไรน่ะเหรอ ตั้งวงเล่นหมากเก็บค่ะ คนจีนเขาก็มายืนมองกันเต็มเลย แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร นั่งเล่นต่อไปจนเขาประกาศว่าเรือจะเทียบท่าแล้ว ตอนนี้แหละที่ทุกคนมากรูกันตรงหน้าประตูทางออก มันเบียดมากค่ะ เบียดจนชนิดที่เราหายใจแทบไม่ออก จนในที่สุดเราก็ใช้สกิลตัวลีบเบียดออกมาจนได้ อากาศข้างนอกเฟรชขึ้นมาทันทีถ้าเทียบกับอากาศในเรือ จากนั้นพวกเราก็เดินเที่ยวในย่านนั้นต่ออีกสักพักแล้วก็กลับโรงแรมกันเหมือนเดิมค่ะ มันเป็นอีกความสุขเล็กๆของเรา ที่อยากจะนำมาแชร์ให้กับทุกๆคนได้ลองอ่านดูค่ะ การใช้ชีวิตช่วงสัปดาห์แรกของการอยู่ที่ต่างประเทศโดยที่ไม่มีแม้แต่เพื่อนที่สนิทมันทำให้เราลำบากใจมากๆ แล้วเราก็ homesick หนักมากๆด้วยค่ะ เราต้องพยายามปรับตัวเข้าหาคนอื่นๆ กว่าเราจะสนิทกับพี่ๆร่วมค่ายก็ใช้เวลานานมากๆ จนเราแทบจะโทรหาเพื่อนที่ไทยทุกวันเพราะว่าเหงามากๆ แต่ก็โชคดีที่เราได้เพื่อนร่วมค่ายที่ดี พี่เขาชวนเราคุยมากขึ้น เราก็เริ่มมีความสุขขึ้นมาได้ เป็นอีกหนึ่งความประทับใจของเราเลยค่ะ จากที่เล่ามาทั้งหมด เปฺ็นประสบการณ์ในเซี่ยงไฮ้ของเรานะคะ คราวหน้าเราจะมาแชร์ประสบการณ์ในหนานจิงให้ทุกๆคนอีกนะคะ เจอกันใหม่ในครั้งหน้า สวัสดีค่าา Cr.ทีมถ่ายภาพประจำค่าย