การเป็นแม่คนนั้นไม่ใช่เรื่องยากและก็ไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้เราอยากจะมาเล่าประสบการณ์การตั้งท้องครั้งแรกของเรา ว่าความรู้สึกตอนแรกที่รู้ว่าตัวเองท้องนั้นรู้สึกอย่างไรและกว่าจะมาถึงตอนนี้ได้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง พร้อมแล้วมาฟังกันเลยค่ะจำได้ว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองท้องครั้งแรกนั้นเป็นวันที่ทวดของฝ่ายสามีเสียพอดี ประมาณเดือนเมษา 62 ความรู้สึกตอนนั้นยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจเอง 2 อาทิตย์ต่อมาแม่สามีพาไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลนอกเมืองใกล้ ๆ บ้าน พอตรวจผลที่ออกมาคือท้องจริง ๆ แต่เราเป็นคนตัวผอม 3 เดือนแรกเลยยังไม่มีใครรู้ว่าเราท้องยกเว้นคนในครอบครัว จำได้ว่าตอนนั้นกังวลใจมากว่าลูกจะออกมาตัวเล็กหรือเปล่า จะน้ำหนักถึงเกณฑ์ไหม แม่สามีเลยบอกว่าไม่ต้องเครียดไปหรอก เพราะถ้าคุณแม่เครียดคุณลูกในท้องก็จะเครียดตามไปด้วย จนมาเริ่มเข้าเดือนที่ 4 ท้องค่อยเริ่มนูนออกมานิดหน่อย เริ่มคลายกังวลให้คุณแม่ได้บ้าง ตอนที่ไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลคุณหมอให้เจาะเลือดของคุณแม่ผลออกมาคือเราซีด เลือดน้อย คุณหมอบอกว่าต้องให้บำรุงเยอะ ๆ เพราะถ้าตอนวันคลอดเลือดไม่พออาจจะเป็นอันตรายต่อตัวคุณแม่และลูกได้ จากนั้นมาก็เริ่มบำรุงเลยค่ะ อะไรที่เขาห้ามก็จะไม่ทำ อะไรที่เขาไม่ให้กินก็จะไม่กิน (ทำอาหารรับประทานเองปลอดภัยที่สุด)รูปโดยนักเขียนสิ่งที่คุณหมอห้ามทำมีดังนี้1. ห้ามยกของหนัก2. ห้ามใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น3. ห้ามขึ้นลงบันได4. เลิกออกกำลังกายที่หนัก ๆ ให้หันมาออกกำลังกายหรือโยคะในท่าเบา ๆ พอ5. ห้ามวิ่ง ห้ามกระโดด (สำคัญมาก)6. ห้ามเอื้อมหยิบของที่สูง ๆ7. ห้ามสูบบุหรี่ หรือ ไปที่ ที่มีควันบุหรี่ (บุหรี่อาจทำให้พัฒนาการของเด็กทารกมีความบกพร่อง)จำได้แค่นี้จริง ๆ ส่วนอาหารที่ห้ามรับประทานก็จะมี1. งดของหมักของดอง2. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์3. งดอาหารดิบ อาหารที่ยังไม่ปรุงสุก4. งดอาหารที่มีผงชูรส5. งออาหารจัดมีอีกหลายอย่างที่คนท้องห้ามทำข้อทั้งหมดข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างที่เราปฏิบัติมา ถ้าถามเราว่าเราปฏิบัติตามทั้งหมดได้ไหม ขอตอบเลยว่าช่วงแรก ๆ ที่รู้ว่าเขาห้ามก็ยังมีหลงลืมไปบ้างแต่พอนาน ๆ ไปก็ทำได้ทั้งหมด มันอยู่ที่เวลาและตัวของคุณแม่ว่าจะเลือกทำหรือไม่ทำ แต่ที่เราเลือกทำเพราะตัวลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ เราอยากให้เขาออกมาเป็นแบบไหนก็อยู่ที่ตัวเรา รูปโดยนักเขียนมาถึงวันที่ต้องคลอดน้องสักที่ หมอนัดกำหนดคลอดจริง ๆ คือวันที่ 16 มกราคม 63 แต่หมอบอกว่าอาจจะเกิดก่อน 1 สัปดาห์ หรือ เกิดหลัง 1 สัปดาห์ หรือถ้ามีอาการ น้ำคร่ำแตก , มีเลือดออกทางช่องคลอด , มีอาการเจ็บที่ท้องน้อยเป็นเวลานาน ให้มาพบหมอก่อนทันทีได้เลย วันอังคารที่ 21 มกราคม 63 เวลา 03 : 30 เราเริ่มรู้สึกปวดท้องช่วงท้องน้อยปวดไม่มาก ปวด 2-3 นาที แล้วก็หาย เป็นอย่างนี้จนถึง 06 : 00 ตอนนี้เริ่มปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ แม่สามีเลยพาไปโรงพยาบาล พอไปถึงพี่พยาบาลก็ถามอาการเป็นยังไง และวัดความดัน ให้นอนรอที่เตียงสักพักก็มาตรวจที่ช่องคลอด ปรากฏว่าปากมดลูกยังไม่เปิดเลยให้ไปตรวจฉี่ ระหว่างที่นอนรอผลตรวจ มีพี่พยาบาลอีกคนเดินเข้ามาตรวจที่ปากมดลูกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ปากมดลูกเปิดได้ 1 เซ็นแล้ว เลยต้องนอนรอปากมดลูกเปิดจนครบ 10 เซ็น เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ยิ่งปากมดลูกเปิดกว้างมากเท่าไรเรายิ่งเจ็บท้องถี่มากขึ้น เวลา 17 : 00 พี่พยาบาลมาตรวจปากมดลูกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ปากมดลูกเปิดค้างไว้เท่าเดิมคือ 5 เซ็น คุณหมอเลยให้สามีไปเอายาเร็งปากมดลูกมาให้เพราะเราเจ็บไม่ไหวแล้ว ระหว่างที่รอยาเร่ง คุณหมอก็เจาะถุงน้ำคร่ำไปพราง ๆ 20 : 00 จนถึงตอนนี้ปากมดลูกเปิดได้ 10 เซ็นแล้วแต่กว่าลูกจะได้ออกมาเราต้องพยายามเป็นอย่างมาก หมอบอกให้เบ่งเราก็เบ่ง ตอนนั้นแรงมีเท่าไรต้องเค้นออกมาให้หมด จนเวลา 21 : 40 ลูกได้ออกมาลืมตาดูโลกครั้งแรก ความรู้สึกตอนนั้นอธิบายไม่ถูกจริง ๆ ทั้งตื้นตัน ทั้งโล่งใจ ความเจ็บปวดที่มีก็หายไปหมด ตอนนี้น้องเกิดมาได้ 22 วันแล้วค่ะ น้องสุขภาพดีน้ำหนัก 3,3xx กว่า ๆ น้องเพศชายนะคะรูปโดยนักเขียนที่เล่าไปข้างต้นทั้งหมดจะบอกว่าง่ายก็ง่ายบอกว่ายากก็ยาก สิ่งที่สำคัญคือความอดทน ความเอาใจใส่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวชี้ว่าเรารักและสามารถดูแลเขาได้มากแค่ไหน อยากจะบอกคุณแม่ทุก ๆ คนว่าไม่มีอะไรยากถ้าเราคิดที่จะทำบ้างคนอยากมีลูก แต่กลัวอย่างนู้นอย่างนี้ถ้าคุณยังคืออย่างนี้อยู่ อย่าพึ่งมีลูกเลยจะดีกว่าเพราะมันแสดงถึงว่าคุณยังไม่พร้อมที่จะมี สุดท้ายนี้ก่อนจากกันไป ขอให้คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องทุกคนมีความสุขกันมาก ๆ นะคะ สวัสดีค่ะภาพหน้าปกโดย นักเขียน