คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และเนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้ ทำให้หลายคนเริ่มเกิดอาการเครียด ไปจนถึงซึมเศร้า และฆ่าตัวตายในที่สุด แม้ว่าจะมีหลายคนที่ไปพบจิตแพทย์ได้ทันท่วงทีและทำการรักษาจนหายเป็นปกติ แต่อีกหลายคนก็ยังคงทุกข์ทรมานกับอาการป่วยเพราะกลัวการไปพบจิตแพทย์ กลัวโดนหาว่าบ้า กลัวว่าแผนกจิตเวชจะมีแต่คนบ้าน่ากลัว ๆ เหมือนในละคร แล้วแผนกจิตเวชมีแต่คนบ้าเหมือนในละครจริงไหม? รู้ตัวได้อย่างไรว่าต้องไปพบจิตแพทย์? ก่อนพบจิตแพทย์ควรเตรียมตัวอย่างไร? แผนกจิตเวชเป็นอย่างไร? น่ากลัวไหม? มาหาคำตอบกันจากบทความนี้ได้เลยค่ะ หมายเหตุ : เนื้อหาทั้งหมดมาจากประสบการณ์ของผู้เขียนเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ในปัจจุบันจึงอาจมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปบ้างจากที่เล่ามา หรืออาจไม่ตรงกับอาการของผู้ป่วยรายอื่น บทความนี้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น โปรดปรึกษาจิตแพทย์ด้วยตนเองอีกครั้งนะคะ ^^ รู้ตัวได้อย่างไรว่าต้องไปพบจิตแพทย์? ตอนนั้นโรคทางจิตเวชยังไม่ได้เป็นที่รู้จักดีแบบตอนนี้ มีผู้ป่วยจำนวนไม่มากที่กล้าเปิดเผยว่าตนเองป่วย เราจึงไม่รู้ว่าต้องไปปรึกษาใครดี แต่มีอาการบางอย่างที่บ่งบอกว่าผิดปกติไปจากเดิม ได้แก่ - เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไรเลย - หดหู่ ซึมเศร้า ท้อแท้ ร้องไห้ตลอดเวลา - นอนหลับทั้งวันเพราะไม่อยากตื่นขึ้นมาอีก - เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว - รู้สึกไม่ดีกับตัวเองอย่างมาก - มีความคิดอยากฆ่าตัวตายตลอดเวลา หรือคิดว่าตายไปได้ก็ดี อาการเหล่านี้เป็นมาประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่โชคดีที่เรารู้สึกตัวว่ามันผิดปกติ เราเลยหาแบบประเมินเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามาลองทำดู (แบบประเมินโรคซึมเศร้า 9 คำถาม จากกรมสุขภาพจิต คลิก!) เราได้ลองทำแบบประเมินจากหลากหลายเว็บไซต์ แต่ตอนนั้นทุกเว็บไซต์ประเมินผลออกมาเหมือนกันนั่นคือ “ท่านมีอาการซึมเศร้าระดับรุนแรงมาก ควรพบแพทย์โดยด่วน” เลยคิดว่าไม่ได้แล้วล่ะ เราต้องไปหาจิตแพทย์แล้ว ก่อนพบจิตแพทย์ควรเตรียมตัวอย่างไร? - เริ่มจากการเสิร์ชข้อมูลว่าโรงพยาบาลที่เรามีสิทธิ์ในการรักษาอยู่นั้นมีจิตแพทย์ไหม เพราะบางโรงพยาบาลอาจไม่มีหมอเฉพาะทางด้านนี้ ถ้าไปโรงพยาบาลเอกชนอาจเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ค่อนข้างแพงกว่าโรงพยาบาลรัฐ จึงควรหาข้อมูลในส่วนนี้ก่อน - เมื่อเสิร์ชดูแล้วว่าโรงพยาบาลที่ต้องการรักษามีจิตแพทย์ประจำอยู่ ให้ศึกษาข้อมูลต่อเกี่ยวกับเวลาออกตรวจของแพทย์ เพราะส่วนมากจิตแพทย์มักจะออกตรวจถึงเวลา 12.00 น. เท่านั้น - เตรียมเอกสารของตนเองให้พร้อม - เตรียมปัญหาที่ต้องการจะเล่าให้คุณหมอ / พยาบาล / นักจิตวิทยา ฟังเพื่อวินิจฉัยอาการ เท่านี้ก็พร้อมจะไปโรงพยาบาลแล้วค่ะ แผนกจิตเวชเป็นอย่างไร? น่ากลัวไหม? หลังจากไปถึงโรงพยาบาล เราไปคนเดียวเพราะมาเรียนต่างจังหวัดไกลจากบ้านมาก ช่วงแรกก็กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่รู้ว่าควรไปติดต่อที่ไหนดี เลยไปถามพี่พยาบาลที่หน้าแผนกจิตเวชว่าต้องไปติดต่อทำเรื่องที่ไหน ตอนแรกก็กลัวว่าพยาบาลจะดุ กลัวคุณหมอจะหน้าบึ้งใส่ แต่บุคลากรที่นั่นกลับใจดีมาก ๆ ทุกคนใส่ใจดูแลดีมาก เราจะขออนุญาตข้ามขั้นตอนการติดต่อไปเลยนะคะ เพราะเราไม่ได้ทำการติดต่ออะไรเลย เนื่องจากตอนนั้นเราค่อนข้างอาการหนักมาก พี่พยาบาลจึงลัดขั้นตอนให้เลย พอไปถึงที่แผนกจิตเวช พี่พยาบาลก็เรียกคุณหมอมาตรวจให้ทันทีทั้งที่คุณหมอออกเวรไปแล้ว และเมื่อซักประวัติอยู่เกือบชั่วโมง คำวินิจฉัยจากคุณหมอก็ออกมาว่า “เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง” และคุณหมออยากให้นอนโรงพยาบาลในวันนี้เลย เพราะคุณหมอกลัวว่าเราจะต้องกลับไปฆ่าตัวตายแน่ ๆ นอนโรงพยาบาล…? ตอนนั้นคำว่า “นอนโรงพยาบาล” ในความคิดของเราคิดว่าคงคล้ายกับผู้ป่วยอาการหนักทั่วไป มีเตียงนอน มีแอร์เย็น ๆ มีห้องน้ำส่วนตัว มีทีวี นอนกดมือถือได้อย่างสบายใจ แต่เราคิดผิด… การนอนโรงพยาบาลในที่นี้ ไม่ใช่การแอดมิทเป็นผู้ป่วยในแบบแผนกอื่น เพราะนี่คือแผนกจิตเวช หลังจากที่พยาบาลพาไปส่งที่แผนกจิตเวชแล้ว คำแรกที่ขึ้นมาในหัวเราคือคำว่า ‘น่ากลัว’ ซึ่งตอนนั้นมันน่ากลัวจริง ๆ แต่พอคิดย้อนกลับไปแล้วก็รู้สึกผิดที่คิดกลัวไปก่อนแบบนั้น เมื่อเข้าไปในแผนกจิตเวช ด้านในเป็นอาคารค่อนข้างเก่า แต่ไม่ได้ทรุดโทรมอะไรนัก มีผู้ป่วยในชุดสีเขียวอ่อนนั่งอยู่ประปรายหน้าทีวี คุณหมอเข้ามาแจ้งกับเราว่าห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งของใช้ส่วนตัวทั้งหมดจะถูกตรวจสอบเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เช่น โบว์ผูกผมเส้นยาว ของมีคม วัตถุไวไฟ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะฝากไว้ในล็อคเกอร์ที่พยาบาล ความเครียดเริ่มถาโถมกลับเข้ามาอีกครั้ง เรารู้สึกกลัวไปหมด แต่พยาบาลกับคุณหมอใจดีมาก ทุกคนดูแลเราอย่างดี คอยพูดคุยและสังเกตไม่ให้เราวิตกกังวล จากที่คิดว่า ‘น่ากลัว’ กลับกลายเป็น ‘รู้สึกดี’ นอกจากทุกคนจะคอยดูแลเราอย่างดีแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำมากมาย ตอน 7 โมงเช้า พี่พยาบาลจะมาปลุกให้ตื่นไปล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อรอทานอาหารเช้า จากนั้นประมาณ 9 โมงเช้า จะมีคุณหมอเจ้าของไข้เข้ามาพูดคุยซักถามอาการ เช่น นอนหลับสบายดีไหม เมื่อวานอาการเป็นยังไงบ้าง เครียดเรื่องอะไรไหม ฯลฯ หลังจากนั้นจะมีกิจกรรมให้ทำหมุนเวียนกันไปทั้งจากนักจิตวิทยา นักศึกษาแพทย์ นักศึกษาจิตวิทยา ตอนบ่ายหลังทานอาหารเที่ยงเสร็จก็มีกิจกรรมอีกเล็กน้อย บางวันเป็นงานประดิษฐ์ บางวันเป็นทำอาหาร บางวันได้ออกกำลังกาย บางวันได้นั่งสมาธิ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เราสบายใจขึ้นมาก แม้จะต้องตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงก็ตาม แล้วแผนกจิตเวชมีแต่คนบ้าเหมือนในละครจริงไหม? ไม่จริงค่ะ ไม่มีใครบ้า ไม่มีใครน่ากลัว ทุกคนเป็นเพียงคนป่วยเท่านั้น พวกเขายังคงพูดคุยได้ตามปกติ อาจจะมีบางคนที่อาการค่อนข้างหนักหรืออาละวาดบ้าง แต่พวกเขาก็แค่ไม่สบายเท่านั้นเองค่ะ และยังอยู่ในความควบคุมดูแลอย่างดีของคุณหมอและพยาบาล เราสามารถสื่อสารกันได้ ทำกิจกรรมร่วมกันได้ บางครั้งเรายังคิดเลยว่าการใช้ชีวิตในแผนกจิตเวชอาจมีความสุขมากกว่าโลกภายนอกด้วยซ้ำ รวมถึงคุณหมอกับพี่ ๆ พยาบาลก็ใจดีมาก ๆ อย่างแอปเปิ้ลหน้ายิ้มในรูปด้านบน คุณหมอก็เป็นคนให้เรามา น่ารักใช่ไหมล่ะคะ ^^ โดยสรุปแล้ว ตอนนั้นเราแอดมิทอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์กว่า ๆ ค่ะ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องจ่ายเลยเพราะใช้สิทธินักศึกษา ทุกคนจึงควรตรวจสอบสิทธิทุกครั้งก่อนไปหาหมอนะคะ จะได้ลดภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ค่ะ แต่หากไปรักษาตัวคนเดียวแบบเรา อยากแนะนำให้พกเงินไปด้วยแล้วฝากไว้ที่พี่พยาบาลก่อนเข้าวอร์ดเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เช่น สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แชมพู ฯลฯ พี่พยาบาลจะทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้เราเรียบร้อยเลย และบางวันพี่เจ้าหน้าที่ก็จะมาถามว่าอยากทานอะไรไหม และนำเงินส่วนที่เราฝากไว้ไปซื้อขนมในเซเว่นของโรงพยาบาลมาฝาก (ยกเว้นพวกชา กาแฟ น้ำอัดลมที่อาจมีผลต่อการนอนหลับ นอกนั้นได้หมดเลยค่ะ) กินอิ่มหลับสบายอย่างแท้จริง เราออกมาจากโรงพยาบาลแบบน้ำหนักขึ้นเลยค่ะ 555 แต่ว่าในช่วงแรกที่ต้องแอดมิทอาจมีกระวนกระวายบ้างเพราะอยากเล่นโซเชียล เราก็เป็นคนหนึ่งที่ติดมือถือมาก ๆ เช่นกัน แต่พอเวลาผ่านไปก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเองค่ะ ถือเป็นการลดการเสพติดโซเชียลไปด้วยในตัวเลย แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะแอดมิทแบบเหงา ๆ นะคะ เพราะนอกจากคุณหมอกับเจ้าหน้าที่จะดูแลอย่างดีแล้ว ยังสามารถให้ญาติมาเยี่ยมได้วันละครั้งในช่วงบ่ายค่ะ (ตรงส่วนนี้อาจแล้วแต่กฎของแต่ละโรงพยาบาลนะคะ) หากเพื่อน ๆ คนไหนที่กำลังสิ้นหวัง ท้อแท้ คิดอยากพบจิตแพทย์ดูสักครั้ง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อีกทั้งยังกลัวการไปพบจิตแพทย์ กลัวโดนหาว่าบ้า หรือกลัวว่าแผนกจิตเวชจะมีแต่คนบ้าน่ากลัว ๆ เหมือนในละคร หวังว่าบทความนี้จะทำให้เพื่อน ๆ เปลี่ยนมุมมองได้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ อย่ากลัวไปเลยค่ะ ที่นี่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครคิดกัน การพบจิตแพทย์ไม่ได้แปลว่าบ้า เราก็แค่ไม่สบาย ♥ ภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน