แน่นอนว่าตอนนี้ในอเมริกา ประเด็นร้อนระดับโลกเรื่องของ Black Lives Matter กระแสความเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ จอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) ชายแอฟริกัน-อเมริกัน ที่เสียชีวิตระหว่างถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวจับกุม ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2020 ที่ผ่านมา ยังดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงวันที่เขียนบทความนี้ ชัดเจนว่านี่เป็นประเด็นหนักหน่วงที่สร้างบรรยากาศตึงเครียดไปทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและอาจรวมถึงทั่วโลก อย่างไรก็ตาม อีกโลกหนึ่งที่ดูเหมือนไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเหยียดสีผิว แต่ที่จริงกลับสะท้อนประเด็นนี้ได้อย่างน่าสนใจก็คือเรื่องแนวซูเปอร์ฮีโร่ ใช่แล้ว...จากค่ายคอมิกส์ดัง ๆ อย่าง DC Comics และ Marvel Comics นี่แหละ เชื่อหรือไม่ว่าหนังและซีรีส์ที่สร้างจากคอมิกส์ดัง ๆ ของค่ายใหญ่ ๆ เหล่านี้ ก็สะท้อนประเด็นหนักหน่วงอย่างการเหยียดเชื้อชาติสีผิว ได้ดีและน่าสนใจไม่แพ้หนังดราม่าเข้มข้นอย่าง The Help (2011) หรือ 12 Years a Slave (2013) เลยนะ ขอเริ่มที่ค่าย DC Comics กันก่อนกับ Watchmen เวอร์ชั่นทีวีซีรีส์ปี 2019 ของค่าย HBO คอการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่น่าจะรู้จักการ์ตูน หรือนิยายภาพเรื่องดังอย่าง Watchmen ของ อลัน มัวร์ (Alan Moore) และ เดฟ กิ๊บบอนส์ (Dave Gibbons) เพราะโด่งดังฮือฮาสุด ๆ ตั้งแต่เมื่อเปิดตัวเล่มแรกในเดือนกันยายน 1986 และที่น่าสนใจมากก็คือ นี่เป็นหนังสือการ์ตูนที่กล่าวถึงประเด็นหนัก ๆ อย่างประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกายุคนั้น คือช่วงสงครามเย็น (Cold War, 1947 – 1991- ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสองขั้วมหาอำนาจในโลก คือโลกฝั่งตะวันตกที่เป็นเสรีประชาธิปไตยและโลกฝั่งตะวันออกที่เป็นคอมมิวนิสต์) และเหตุการณ์สำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งในสงครามเย็นนั่นคือ สงครามเวียดนาม (Vietnam War, 1955 - 1975) และดังที่ทราบกันดีว่านิยายภาพเรื่องดังนี้ได้ถูกนำมาสร้างเป็นหนังชื่อเดียวกันในปี 2009 ด้วย โดยผู้กำกับดัง แซ็ค สไนเดอร์ (300, Man of Steel, Justice League) ซึ่งในหนังก็มีบางฉากที่กล่าวถึงสงครามเวียดนามด้วยเช่นกัน แล้ว Watchmen มาเกี่ยวอะไรกับประเด็นเหยียดสีผิวด้วย? คำตอบของคำถามนี้มีอยู่ใน Watchmen ฉบับซีรีส์ปี 2019 ของ HBO นี่เอง เพราะ Watchmen เวอร์ชั่นนี้ในแง่หนึ่งต้องถือว่าเป็น ‘ภาคต่อ’ ของนิยายภาพต้นฉบับอีกที เพราะดำเนินเรื่องในอีก 30 กว่าปีถัดมาจากเหตุการณ์ในนิยายภาพต้นฉบับ เรื่องราวหลัก ๆ ในซีรีส์เน้นเล่าถึงเหตุการณ์ร่วมสมัยในปี 2019 (มีฉากย้อนอดีตบ้างเป็นบางช่วง) ที่สำคัญผู้สร้าง เดม่อน ลินเดลอฟ (ซีรีส์ Lost, The Leftovers) ยังตั้งใจจัดหนักจัดเต็มประเด็นเหยียดสีผิว เพราะเรื่องราวหลักเกิดขึ้นที่เมืองทัลซา รัฐโอคลาโฮมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองนี้ต้องรับมือกับพวก Seventh Kavalry (กลุ่มคนที่ยึดถือแนวคิดความเหนือกว่าของคนผิวขาวและเหยียดหยามคนผิวสีหรือคนเชื้อชาติอื่น) ที่กำลังเตรียมวางแผนการร้ายครั้งใหญ่ ที่สำคัญคือ ทัลซา, โอคลาโฮมา ในอดีตคือเมื่อปี 1921 ยังเป็นสถานที่เดียวกันกับที่เคยเกิด Tulsa race massacre – เหตุการณ์จริงที่ม็อบคนผิวขาวก่อเหตุสังหารหมู่ ทำร้ายร่างกาย และทำลายทรัพย์สินของบรรดาชาวแอฟริกัน-อเมริกันในเมืองนี้ จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายคน ซึ่งเหตุการณ์ในอดีตเมื่อเกือบ 100 ปีก่อนนี้ ยังได้ถูกเชื่อมโยงผ่านตัวละครนำของซีรีส์เรื่องนี้คือ แองเจล่า เอบาร์ หรือ ซิสเตอร์ ไนต์ (รับบทโดย เรจิน่า คิง) ตำรวจหญิงแกร่งผู้โดดเด่นผ่านเรื่องราวความเป็นมาในอดีตของครอบครัวเธอนั่นเอง (ขอไม่เล่ามากกว่านี้ เพราะเกรงจะสปอยล์นะคะ) เปลี่ยนมาดูทางค่าย Marvel Comics กันบ้าง เรื่องเด่นที่ไม่ควรลืมในประเด็นนี้เลยคือ X-Men ทีมตัวละครซูเปอร์ฮีโร่เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ชื่อดังที่ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูนของค่าย Marvel มาตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 1960 ซึ่งตอนนั้นยังเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิมนุษยชนในสหรัฐอเมริกาด้วยนะ และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ X-Men เป็นกลุ่มตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ที่โดดเด่นแตกต่างจากซูเปอร์ฮีโร่อื่น ๆ ก็คือ สแตน ลี และ แจ็ค เคอร์บี้ ผู้สร้างสรรค์ตัวละครเหล่านี้ ได้มุ่งนำเสนอพล็อตหลักของเรื่องเป็นความขัดแย้งระหว่าง ‘มนุษย์กลายพันธุ์’ (Mutants) กับ ‘มนุษย์ปกติทั่วไป’ (normal humans) ซึ่งมักถูกตีความว่าเป็นการมุ่งสะท้อนสถานการณ์จริงในสังคมอเมริกาที่บรรดาคนกลุ่มน้อย เช่น คนผิวสี หรือชาวแอฟริกัน-อเมริกัน (ตลอดจนกลุ่มคนหลากหลายศาสนา ไปจนถึงกลุ่มหลากหลายทางเพศ) ต้องเผชิญในสังคมอเมริกา ทำให้การเหยียดเชื้อชาติหรือสีผิว (Racism) กลายเป็นหนึ่งในประเด็นโดดเด่นที่ถูกสะท้อนผ่านเรื่องราวของตัวละครใน X-Men นอกจากนั้น ตัวละครสำคัญใน X-Men อย่าง ศาสตราจารย์ เอ็กซ์ (Professor X) หรือ ศาสตราจารย์ ชาร์ลส์ เซเวียร์ (Professor Charles Xavier) และ แม็กนีโต (Magneto) ก็ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของบุคคลสำคัญตัวจริงในอดีต ผู้เป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิมนุษยชนในยุคทศวรรษที่ 1960 กันทั้งคู่ด้วย เริ่มกันที่ ศาสตราจารย์ เอ็กซ์ มิวแทนต์ผู้มีพลังจิตแข็งแกร่งผู้ให้ความคุ้มครองดูแลบรรดาเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์และมุ่งหวังให้มนุษย์กลายพันธุ์กับมนุษย์ปกติสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข ก็ถูกมองว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจาก มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr., 1929 - 1968) ผู้นำการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนโดยยึดหลักสันติวิธีและปราศจากการใช้ความรุนแรง การันตีด้วยการที่เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 1964 ขณะที่ แม็กนีโต มิวแทนต์ผู้มีพลังแม่เหล็กที่ทรงอานุภาพ จึงสามารถควบคุมโลหะต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ดังใจนึก แต่ที่สำคัญคือเขาแตกต่างกับเพื่อนสนิทอย่าง ศาสตราจารย์ เอ็กซ์ ก็ตรงที่เขาปฏิเสธแนวคิดที่มนุษย์กลายพันธุ์และมนุษย์ปกติจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสันติสุข จึงไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ ศาสตราจารย์ เอ็กซ์ เท่าใดนัก การต้องเผชิญกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของพวกนาซีในช่วงวัยเด็กและรอดมาได้ ทำให้แม็กนีโตไม่อยากเห็นเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ด้วยกันต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันอีกครั้ง เขาจึงมุ่งมั่นปกป้องเพื่อนมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยวิธีที่ดุเดือดและรุนแรง พูดง่าย ๆ คือ เขามีเป้าหมายเดียวกันกับ ศาสตราจารย์ เอ็กซ์ เพียงแต่เลือกวิธีการไปถึงเป้าหมายนั้นที่แตกต่างออกไป นั่นจึงทำให้แม็กนีโตถูกมองว่าได้แรงบันดาลใจจากบุคคลจริงคือ มัลคอล์ม เอ็กซ์ (Malcolm X, 1925 - 1965) อีกหนึ่งนักเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิมนุษยชนคนสำคัญร่วมยุคสมัยเดียวกันกับ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ แต่มีท่าทีในการเคลื่อนไหวที่ดุเดือดและรุนแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัดนั่นเองสรุป จากตัวอย่างข้างต้นที่แนะนำไปทั้ง Watchmen และ X-Men คงพอจะเห็นได้ว่าเรื่องการเหยียดสีผิวนั้น เป็นประเด็นปัญหาสำคัญที่ฝังลึกอยู่ในสังคมอเมริกันมาช้านาน และถูกสะท้อนผ่านสื่อแทบทุกแขนง ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันได้เลยอย่างหนังสือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่และบรรดาหนังกับซีรีส์ที่ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่เหล่านี้อีกที ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านที่สนใจหาแง่มุมเพิ่มเติมเรื่องประเด็นเหยียดสีผิวในอเมริกาจากสื่ออย่างภาพยนตร์และซีรีส์ จะได้มีหนังและซีรีส์แนวซูเปอร์ฮีโร่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจนะคะ ขอขอบคุณภาพปกและภาพประกอบบทความทั้งหมดจาก เว็บทางการของ HBO, Official Trailer ของหนัง X-Men และ X-Men: First Class, เว็บทางการขององค์กร Black Lives Matter, เว็บทางการของ DC Comics และ Marvel Comics, เว็บทางการของหนัง Watchmen (2009) ตลอดจนภาพและข้อมูลของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และ มัลคอล์ม เอ็กซ์ จากเว็บ en.wikipedia.org เครดิตภาพปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7 / ภาพประกอบที่ 8 / ภาพประกอบที่ 9 / ภาพประกอบที่ 10 / ภาพประกอบที่ 11 / ภาพประกอบที่ 12 / ภาพประกอบที่ 13