ไม่มีใครแก่เกินเรียน น่าเป็นเรื่องจริง แต่การเรียนในระดับที่สูงขึ้นมันต่างจากการเรียนในระดับที่ผ่าน ๆ มานะครับ ยกตัวอย่าง เราเรียนในระดับประถมเป็นทั้งความรู้พื้นฐาน และใช้ชีวิต ทั้งปัจจุบันและอนาคต การเรียน การสอน การสอบจึงต้องวัดผลตามที่เรียนมิใช่นอกเนื้อหา ต่อมาในระดับมัธยมนั้น ความรู้ก็จะเริ่มต้นขึ้น ซับซ้อนขึ้น และสามารถเชื่อมต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ สังเกตจากเนื้อหาที่เรียนจะเริ่มเพิ่มการวิเคราะห์มากกว่าเน้นความจำมากกว่าตอนประถม จนกระทั่งเมื่อเราสอบเข้าไปในระดับอุดมศึกษา (ป. ตรี) บางคนมองว่าความรู้ระดับ ปริญญา ตรีจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จภายหลังจากจบปริญญา ตรี ส่วนตัวผมมองว่ามันความจริงเพียงครึ่งเดียว ความสำเร็จในชั้นปริญญาตรีน่าจะเป็นเพียงใบเบิกทางเท่านั้น เนื่องด้วยความสำเร็จต้องอาศัยทั้งความรู้และประสบการณ์ โดยเฉพาะเจ้าตัวหลังที่ไม่มีในตำรา เราจะหาได้จากที่ไหนคำตอบ คือ ตัวอย่างใกล้ตัวหรือศึกษาในระดับที่สูงขึ้นถ้าไม่มีตัวอย่างใกล้ตัว การศึกษาในระดับสูงขึ้นจึงกลายเป็นคำตอบของหลาย ๆ คนที่คุณอาจเข้าใจผิดว่าการเรียนในระดับปริญญาโท คือ แค่เข้าเรียนและสอบจบ ไม่ใช่ การเรียนในระดับ ปริญญาโทนั้น ถ้าให้เดาจากศัพท์ภาษาอังกฤษคำว่า "Master degree" อนุมานว่าปริญญาของผู้เชี่ยวชาญ หรือเจ้านาย ลองจินตนาการเป็นสามเปลี่ยมแนวตั้งนะครับ1) ฐานจะเป็นความรู้ระดับอนุบาล ประถม - เน้นไม่ยาก มุ่งเพื่อการใช้ชีวิตเบื้องต้น อ่านออกเขียนได้2) แคบขึ้นไปนิด คือความรู้ระดับมัธยม - ยากขึ้น วิเคราะห์มากขึ้นลดความจำลง และอาจเตรียมความพร้อมสู่ว่าที่นิสิตนักศึกษาในอนาคต3) ถัดมาคือความรู้ในระดับปริญญาตรี นี่จะเน้นไปตามที่ตัวเองเลือก ยกตัวอย่าง สายกฎหมาย ที่มุ่งเน้นไปที่ทฤษฎี กรอบความคิด (ไม่อยากให้ฟุ้ง) ในทางกฎหมาย ว่าสามารถประยุกต์ใช้กับพฤติกรรมของมนุษย์ได้จริงหรือไม่ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วมาก แต่เสริมนิดว่าในชั้นปริญญาตรีนี้เองนับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายนิสิต-นักศึกษาในยุคปัจจุบันมากเพราะ ความรู้ของศาสตร์ตนเพียงอย่างคงไม่พอ แต่มันต้องบูรณาการศาสตร์อื่นด้วยจึงจะครบเครื่อง ใช้งานเป็น แต่ผมไม่ได้บอกว่าให้ทิ้งความรู้พื้นฐาน แต่ต้องการให้ความรู้พื้นฐานแน่นและเสริมความรู้ด้านอื่นด้วย เช่น ความรู้ด้านเทคโนโลยี ยิ่งต้องมี เพราะความรู้พื้นฐานของศาสตร์ตัวเอง บางส่วนจะถูกแทนที่ด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องจักร หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ แต่ทักษะทางสังคม มนุษย์เท่านั้นที่จะทำได้4) ส่วนสุดท้ายคือ ปริญญาโท ส่วนตัวผมว่า หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า จบปริญญาตรีแล้วไม่มีอะไรทำเรียนโทดีกว่า ผมว่ามันการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมเคยทำงานก่อนเรียน กับนักเรียนทุนคนอื่นที่เรียนโททันทีหลังจบปริญญาตรี ความเข้าใจต่างกันครับ เพราะประสบการณ์ทำงานมันสอนให้ผมเข้าใจเนื้อหาปริญญาโทด้วยภาพประสบการณ์ที่ผมผ่านมา แต่นักเรียนปริญญาโท ที่เรียนอย่างเดียวจะนึกภาพไม่ชัดว่า ความเปลี่ยนแปลงของโลกนี้มันเป็นอย่างไร การผลิตงานเขียนในระดับปริญญาโทที่เน้นทักษะการคิดวิเคราะห์ ในเชิงปฏิบัติ หากผู้เรียนมีประสบการณ์จากการทำงานมาด้วย มันจะเป็นการเรียนที่สนุกครับ ไม่ใช่มัวแต่ท่อง/อ่านตำราแต่ไม่เห็นภาพ สรุปคือ การเรียนปริญญาโทในมุมมองของผมคือถ้าจะเรียนให้มีความสุขโปรดมีประสบการทำงานแล้วคุณจะไม่ทุกข์ อย่าลืมว่า เรียนปริญญาโทค่าเรียนไม่ถูก และค่อนข้างดูดพลังความคิด ถ้าคุณเรียนเพราะชื่อเสียงสถาบัน หรือ อะไรก็ตามที่ปราศจากความกระหายใคร่รู้ทางวิชาการ ผมว่าอยู่บ้านดู netflix ดีกว่า ท้ายนี้ขอบพระคุณปก จาก pixabay1.ภาพที่ 1 โดย12194226 จาก pixabay2.ภาพที่ 2 โดย tintin12 จาก pixabay3.ภาพที่ 3 โดย squarefrog จาก pixabay4.ภาพที่ 4 โดย yousafbhuttaจาก pixabayเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !