หลังจากสถานการณ์โควิดหลายคนเริ่มคิดว่าจะกลับบ้านหรือหาซื้อที่ดินไปทำเกษตรกรรม ซึ่งจะตั้งคำถามแรกกันว่า “ปลูกอะไรดี” นั้นคือ ปัญหาแรกที่เจอเมื่อเปลี่ยนแนวคิดจากวิถีชีวิตเมืองสู่ชนบทมาเริ่มต้นทำเกษตร ที่หลายคนตั้งคำถามนี้เพราะจริงแล้ว เราติดกับความสะดวกสบายจากในเมือง เราจึงมองถึงผลลัพธ์ก่อนว่าจะได้ผลผลิตอะไร ซึ่งผมอยากชวนเพื่อนมาทดลองตั้งคำถามอีกคำถามนึง โดยทั้งนี้ผมไม่ได้จะมาบอกว่าปลูกอะไรหรือเลี้ยงอะไรแล้วจะดี แค่อยากชวนให้ตั้งคำถามอีกคำถามนึงว่า “เป้าหมายแท้จริงที่อยากเป็นเกษตรกรคืออะไร” ให้ระเบิดจากข้างใน โดยหลักๆ แล้ว น่าจะมาจาก 2 เหตุผลนี้หรือเปล่าเปลี่ยนอาชีพ คือ กลับมาสร้างรายได้จากการทำเกษตรกรรม ดังนั้น เราก็ต้องศึกษาพืชที่ผลิดอกออกผลให้สามารถขายได้ ต้องวางแผนการผลิตระยะสั้นกลาง~ยาว ไม้ประดับ ผัก ผลไม้ การเลี้ยงสัตว์หรือประมง ซึ่งทั้งหมดก็จะต้องคำนึงถึงความต้องการของตลาดในอนาคตด้วย ไม่ใช่ว่าปลูกไปแล้วเลี้ยงสัตว์ไปแล้ว 2~3 ปี ราคาตก ขายไม่ได้ ต้องยอมขาดทุนขายทิ้งในราคาถูก ต้องวางแผนจัดการแปลงให้สอดคล้องเหมาะสมกับมาตรฐาน อาหารปลอดภัย อาหารอินทรีย์ ต้องวางแผนการเงินบนฐานการลงทุน แต่ถ้าสังเกตดีๆ หลายคน อาจจะรู้สึกเหมือนทำงานประจำ คือ การลงทุนเอาเงิน แรงหรือเวลาไปแลกงาน ให้ได้ผลผลิตไปจำหน่าย นำเงิน(สื่อกลาง)มาซื้อเพื่อบริโภค การมีวิถีชีวิตแบบพึ่งพาโลกภายนอกวิถีเกษตรกรดั้งเดิม ที่ผมเลือกใช้คำนี้เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีชีวิตอาศัยอยู่กับวิถีเกษตรมาก่อนระบบอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้มีเวลาของตัวเอง น่าจะมีหลายคนคิดเช่นนี้ คือ การได้กลับมาอยู่กับครอบครัว อยู่บ้านในชนบท ตื่นสายๆ มาทำอะไรของตัวเอง ซึ่งจะต้องเลือกพืชที่เราชอบทานและมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต (ปลูกที่กิน กินที่ปลูก) ต้องมีการวางผังหรือแนวคิด เกษตรทฤษฎีใหม่ หรือเกษตรผสมผสาน (ปลูกหลายอย่าง หากอย่างนึงอย่างใดเสียหาย ยังมีอีกหลายสิ่งทดแทน) ต้องผลิตเพื่อบริโภคก่อน แล้วจึงนำไปจำหน่าย ดังนั้น เมื่อลูกค้าพบว่าเราปลูกไม่ใส่สารเคมีเพราะปลูกทานเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งมาตรฐานการรับรองน้อยลง แต่อยู่บนพื้นฐานความไว้เนื้อเชื่อใจกันสังเกตดูว่าเมื่อเรามีผลผลิตให้เก็บกินในสวน ในไร่ในนา เราก็ไม่ต้องจ่ายเพื่อหาซื้อมาบริโภค ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นเพราะจำนวนเงินที่มีไม่ได้ใช้จ่ายออกไปถึงจำเป็นต้องใช้จ่ายก็น้อยนิด ซึ่งจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเอาผลผลิตที่เหลือจากการบริโภคไปจำหน่ายเป็นวิถีชีวิตแบบพึ่งพาตนเองก่อน ห่วงโซ่ของการปลูกบน 2 เงื่อไขข้างต้น คือ “ยาวกับสั้น” อธิบายดังนี้ ยาว คือ เกษตรกรต้องวางแผนปลูกเพื่อผลิต ต้องวางแผนการตลาด และวางแผนการหาเงิน เผื่อมาซื้อ…อาหารมาทานในบ้าน … และ สั้นคือ ปลูกเพื่อเป็นอาหารทานเองเสียเลย สั้นๆ ไม่ยุ่งยากหลายท่านอาจจะมีมีวิถีผสมผสาน 2 เหตุผลข้างต้นมากน้อยต่างไป แต่อยากให้สังเกตดีๆ ว่าทำไมจึงต้องหาเหตุผลหลักของการเริ่มต้นของวิถีชีวิตก่อนการปลูกต้นไม้อะไร เพราะจริงๆ แล้ว หัวใจหลักของเกษตรกรรมแตกต่างกันอยู่แค่ ต้องการเงิน หรือต้องการอาหาร ซึ่งถ้าเราได้ทบทวนชีวิตง่ายๆ ทันทีที่เราตื่นขึ้นมา ก็กิน อีก 4 ถึง 6 ชั้วโมงเราต้องกินอาหาร … เราไม่ได้กินเงิน เพราะเงินเป็นแค่สื่อกลางสำหรับความสะดวกสบายจากภายนอก แต่ถ้าหากท่านกำลังจะเริ่มต้นใหม่หรือเริ่มได้สักครู่แล้ว ผู้เขียนอยากแนะนำให้เลือกออกแบบพื้นที่เพาะปลูกตาม “เกษตรกรทฤษฎีใหม่” และเลือกปลูกพืชที่ชอบทานก่อน แบ่งตามระยะสั้น กลาง ยาว กล่าวคือ เน้นเพื่อปลูกไว้ทานก่อน เมื่อเหลือจึงค่อยแปรรูปจำหน่าย แล้วค่อยพัฒนาพื้นที่และผลิตภัณฑ์ต่อไป ทั้งนี้ผู้เขียนได้ทำ เกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งออกบบพื้นที่ให้มีระบบ วนเกษตร เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสานเกษตรวิถีธรรมชาติและเกษตรอินทรีย์ เอื้อกันในพื้นที่อย่างเกื้อกูลภาพมุมสูงแปลงเกษตรของผู้เขียนหลายท่านได้เริ่มลงมือทำไปแล้ว อาจจะมีข้อคำนึงได้มากกว่านี้ ซึ่งผมลองหยิบยกมาบางส่วนเพื่อเป็นตัวอย่าง ทั้งนี้ อาจะเป็นไปตามความต้องการของครอบครัว หนี้สินและการวางแผนการจัดการพื้นที่และอื่นๆ อีกหลายปัจจัย ไม่ว่าจะอย่างไร ผมเพียงอยากให้เริ่มต้นดำเนินชีวิตภาคเกษตรกรรมด้วยความรู้สึกที่ซื่อสัตย์กับตัวเองและถูกต้องจากข้างในว่าเป้าหมายของการเป็นเกษตรกรคืออะไร แล้วจะได้วางแผนอนาคตได้ถูกต้อง จะได้ไม่เสียเวลา เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ถ้าเราลงมือปลูกไปแล้ว เสียทั้งเงินและเวลา ดังนั้น อยากให้เข้าใจตนเองเสียก่อน ทะเลาะกันในครอบครัวให้เสร็จเสียก่อน จะได้มีครอบครัวที่สนับสนุนให้กำลังใจ วิถีชีวิตภาคเกษตรกรรมจะได้ไม่กลับมาทำร้ายความทรงจำของคุณ ก่อนจะถามว่าปลูกอะไรดี ลองกลับมาเริ่มต้นถามตนเองก่อนว่า “เป้าหมายแท้จริงที่อยากเป็นเกษตรกรคืออะไร” รูปภาพเป็นของผู้เขียนและภาพตัวผู้เขียนเองเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !