เมื่อพูดถึงโลก หลายคนอาจจะเลือกอธิบายความหมายของโลกโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่วันนี้ผู้เขียนจะขอเก็บความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไว้ก่อน และเลือกเปิดตำราประวัติศาสตร์มาอธิบายเกี่ยวกับ'โลก' ผู้เขียนจะไม่ได้มาอธิบายถึงรูปร่าง ลักษณะ อายุ ของโลกเหมือนวิชาวิทยาศาตร์ แต่จะมาเปิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงบน'โลก'ใบนี้ โลกที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา และมนุษย์เองก็สร้างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ขึ้นมาบนโลกนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะ ดี หรือ ร้าย ล้วนแต่เกิดขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น ขนาดเหรียญยังมีสองด้าน และประวัติศาสตร์จะมีเพียงด้านเดียวเหรอ? คำตอบคือ ไม่ เมื่อมีขาวก็ต้องมีดำ เมื่อมีกลางวันต้องมีกลางคืน เมื่อมีด้านดีต้องมีด้านร้าย ประวัติศาสตร์เองก็คงไม่ต่างกัน วันนี้เราจะมาตีแผ่สิ่งที่(ไม่)ได้ถูกสอนในตำราเรียนของประเทศไทยไปพร้อมกันเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของโลกนั้นมีมากมาย หนึ่งในเหตุการณ์ที่เราจะมาหยิบยกพูดคุยกันในวันนี้ ก็คือ 'การเหยียดสีผิว' เชื่อว่าทุกมุมโลกต้องมีการ'เหยียด'เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเกิดขึ้นอาจจะเล็กน้อยจนดูเป็นการแซวกัน หรืออาจจะรุนแรงถึงขั้นประท้วง หนึ่งในประเทศที่มีประวัติศาสตร์การเหยียดสีผิวที่รุนแรงมากประเทศหนึ่งบนโลก นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ ประเทศที่ใครหลายคนอยากจะไปเที่ยวหรือใช้ชีวิตอยู่สักครั้ง แต่เรากับปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศที่สมบูรณ์แบบมากประเทศหนึ่งนี้ ครั้งหนึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ในปี 1955 การเหยียดสีผิวหญิงอเมริกัน'ผิวสี'คนหนึ่ง เธอมีนามว่า"โรซา พาร์กส์" โดยเธอถูกผู้โดยสารบนรถเมล์บังคับให้ลุกขึ้นเพียงเพราะเขาไม่มีที่นั่งและเขาเป็นคนอเมริกัน'ผิวขาว' เหตุการณ์นี้ทำให้'มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์' ลุกขึ้นมาประท้วงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับโรซาและคนผิวสีที่โดนปฏิบัติเช่นนี้ ท้ายที่สุดมาร์ตินก็ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ และมีศิลปินนักร้องผิวสีในยุคนั้นหลายท่านเริ่มตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมกันนี้และลุกขึ้นที่จะมาเรียกร้องความเท่าเทียมให้กับตัวเองและเพื่อนผิวสีเช่นเดียวกับตน อาทิ นิน่า ซิโมน แต่เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าในยุคนั้นการเรียกร้องเรื่องสีผิวมันเกิดขึ้นยากมาก เพราะมีการทำร้ายร่างกายคนผิวสีที่มาชุมนุมโดยคนผิวขาวหัวรุนแรงอยู่แทบทุกครั้งเมื่อมีการเดินประท้วง แต่ถึงกระนั้นความเท่าเทียมก็ต้องเกิดขึ้นดั่งคำกล่าวของมาร์ตินที่รู้จักกันในนาม "I HAVE A DREAM" และในปี 1968 มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ก็โดนลอบยิง และการจากไปของเขานี้เอง ทำให้การเรียกร้องความเท่าเทียมของคนผิวสียิ่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และตลอดระยะเวลาเกือบ 50 กว่าปี ที่ผ่านมา สิ่งที่มาร์ตินต้องการเรียกร้องมาโดยตลอดมันไม่ได้สูญเปล่า เพราะทุกคนเริ่มตระหนักมากขึ้น เริ่มเห็นถึงความเป็นมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น แต่ในปี 2020 นี้ แทนที่จะเป็นปีแห่งอิสรภาพ ปีที่อะไรๆจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าปีก่อนๆ แต่กลับกันดันกลายเป็นปีแห่งโศกนาฏกรรม เมื่อตำรวจผิวขาวนายหนึ่งได้ทำการจับกุมชายผิวสีนามว่า จอร์จ ฟลอยด์ แต่ดันทำเกินกว่าเหตุโดยใช้เข่ากดลำคอชายผิวสีคนนี้จนถึงแก่ชีวิต เหตุการณ์ในครั้งนี้ เหมือนเป็นการจุดชนวนความขัดแย้งระลอกใหม่ในรอบ 50 ปี เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมให้แก่จอร์จ ฟลอยด์ และเป็นการย้ำถึงสิทธิเสรีภาพในการมีชีวิตอยู่ไม่ว่าคุณจะมีสีผิวอะไรก็ตามของคนผิวสี แถมครั้งนี้อาจจะดูยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนๆ เพราะว่า มีดาราศิลปินผิวสีหลายท่าน อาทิ คาร์ดิ บี,รีฮันน่า,เควิน ฮาร์ต ฯลฯ และไม่ใช่เพียงแต่ดาราศิลปินผิวสีเท่านั้น แต่รวมไปถึงดาราศิลปินผิวขาว อาทิ อารีอานา,ลาน่า เดย์ เรย์,คามิล่า,จัสติน บีเบอร์ ฯลฯ ก็ออกมาเรียกร้องความเท่าเทียมกันให้แก่เพื่อนผิวสีในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ควรจะได้รับการปฏิบัติเหมือนกันกับคนผิวขาวโดยไม่มีการแบ่งแยกหรือถูกตัดสินเพียงเพราะสีผิวที่ต่างกันหรือเชื้อชาติที่ต่างกัน จนเกิด #blacklivesmatter ในทวิตเตอร์ จากบบทเรียนในครั้งนี้ ทำให้สหรัฐอเมริกา รวมไปถึงในหลายประเทศเริ่มกลับมาใส่ใจถึงความเท่าเทียมกันมากขึ้น(อีกครั้ง) อาทิ อังกฤษ สเปน อิตาลี ญี่ปุ่น ฯลฯ ผู้เขียนก็ขอเป็นหนึ่งเสียงในการขอเรียกร้องสิทธิเสรีภาพไม่ว่าจะเป็น สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา หรือ เพศสภาพ สิ่งเหล่านี้ควรจะได้รับการยอมรับ ไม่ใช่เพราะว่าเห็นคนอื่นทำต้องทำตามบ้าง ไม่อย่างงั้นจะตกเทรนด์ แต่ผู้เขียนอยากจะให้ทุกคนได้เห็นถึงความสำคัญมากกว่านั้น ว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ควรโดน เพราะเขาเองก็เป็นมนุษย์ที่มีหัวใจเฉกเช่นเรา เครดิตภาพ ภาพปก : โดย Life Matters จาก Pexels โดย Josh Hild จาก Pexels ภาพ : โดย Firentis จาก Pixabay โดย WikiImages จาก Pixabay โดย Gordon Johnson จาก Pixabay