14 วันอันเดียวดายบนดินแดนมักกะโรนี คือประสบการณ์ชีวิตชั้นดีที่มีครบทุกรูปแบบจนแทบจะทำให้ “ป้านวล”ถอดใจ เก็บกระเป๋ากลับเมืองไทยวันละหลายครั้ง เพราะนอกจากจะมีปัญหาใหญ่ในเรื่องการสื่อสารแล้ว การจดจำรายละเอียดของเส้นทางก็ยังตามกวนใจป้านวลอยู่ทุกขณะ ส่งผลให้ร่างกายของป้าสูญเสียพละกำลังไปมาก จึงเป็นข้อคิดที่ดีของนักเดินทางทั้งหลายว่า การเดินทางมีความเสี่ยง ผู้เดินทางควรศึกษาข้อมูลและวางแผนการเดินทางให้ดีก่อนทุกครั้ง เพราะจะช่วยรักษาสภาพร่างกายและจิตใจของเราให้สดชื่น แจ่มใส พร้อมจะออกไปผจญภัยในทุก ๆ วัน นั่นเอง เมื่อเวลาเป็นสิ่งที่ป้านวลไม่มี เธอจึงต้องจำใจบอกลาฟลอเรนซ์เพื่อมุ่งหน้าไปยังกรุงเวนิส เมืองหลวงของแคว้นเวเนโต้ ที่แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกคุ้นหูนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นอย่างดี เพราะแลนด์มาร์คแห่งนี้เป็นเมืองแห่งสายน้ำซึ่งถูกกล่าวขานกันว่ามีความโรแมนติกมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย ความพิเศษของกรุงเวนิส คือมีสภาพพื้นที่เป็นเกาะลอยน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งถูกตัดแบ่งด้วยคลองมากถึง 150 เส้น คลองสายที่มีความสำคัญต่อการคมนาคมและการดำรงชีวิตของนักท่องเที่ยวและชาวเมืองเวนิสก็คือ Grand Canal ซึ่งเป็นคลองสายหลักที่เชื่อมโยงกรุงเวนิส 3 เกาะใหญ่ ใน 7 เขต สำคัญเข้าด้วยกัน การเดินทางจากฟลอเรนซ์ไปกรุงเวนิสนั้นทำได้หลายช่องทาง แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้นรถไฟความเร็วสูง Trenitalia เช่นเดิม ในแต่ละวันจะมีขบวนรถไฟจากฟลอเรนซ์ไปเวนิสทุก ๆ 1 ชั่วโมง เฉลี่ยวันละประมาณ 17 เที่ยว ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง สนนราคาค่าโดยสารประมาณ 15 ยูโร ซึ่งป้าเลือกที่จะเดินทางในช่วงเช้าเพราะต้องเผื่อเวลาหลงเอาไว้สักหน่อย เมื่อรถไฟเทียบชานชาลาของสถานี Fondamenta Santa Lucia แดดเปรี้ยงตอนเที่ยงวันก็เป็นสัญญาณที่ดีจากสวรรค์ ที่ทำให้ป้าอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย แต่เนื่องจากรุงเวนิสมีสภาพภูมิอากาศแบบชายฝั่งทะเลทำให้อาจมีสภาพอากาศแปรปรวนแบบ "Four season in one day" ก็เป็นได้ ป้าจึงตัดสินใจไม่เสี่ยงรีบตรงดิ่งเข้าที่พักซึ่งจองไว้ในบริเวณที่ไม่ไกลจากสถานีเป็นอันดับแรก เพียงแค่ก้าวเดินออกจากสถานีรถไฟ ป้านวลก็ต้องพบเจอกับปัญหาใหญ่เสียแล้ว ด้วยความที่ย่านบ้านพักอาศัยใจกลางกรุงเวนิสมีการจัดวางระบบผังเมืองที่ค่อนข้างสับสน อีกทั้งจำนวนผู้คนก็ขึ้นชื่อว่าหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี ตัวช่วยสุดท้ายคือแผนที่ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าแทบไม่ช่วยอะไรป้าเลย สถานการณ์ตอนนี้เหมือนกับป้ากำลังเล่นซ่อนหาในเขาวงกต โดยโจทย์ที่ป้าได้รับมีเพียงเลขที่โฮสเทลพร้อกับข้อความในกระดาษ A4 ที่ปรินท์ออกมาจากที่พักในเมืองฟลอเรนซ์ว่า “Campo Santa Margherita, 2967/a, 30123 Venezia” แถมคำใบ้ให้เล็กน้อยว่าเดินออกจากสถานีรถไฟเพียง 15 นาที นั่นเอง ป้าเดินไปตามลายแทงที่ได้รับมาเรื่อย ๆ แต่หาอย่างไรก็หาที่ตั้งของอาคาร “2967/a” ไม่เจอ ป้าเดินวนอยู่ในย่านที่คนพลุกพล่านเป็นเวลานานกว่า 30 นาที จนต้องขอความช่วยเหลือจากหนุ่มสาวชาวอิตาลีที่อยู่ในบริเวณนั้น ทั้งสองคนก็ให้ความกรุณาป้าเป็นอย่างดี พวกเขาพาป้ามาส่งถึงหน้าโฮสเทล ซึ่งตั้งอยู่ในตรอกขนาดเล็กที่มีพื้นที่เพียงแค่ให้คนเดินสวนกันได้เท่านั้น ป้าถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นป้ายโฮสเทลตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แต่กดกริ่งอย่างไรก็ยังไม่มีใครออกมารับป้าเข้าไปในตัวโฮสเทลเสียที พอคิดได้ก็กดเบอร์โทรศัพท์ผ่านซิมต่างประเทศที่เพื่อนร่วมทางทิ้งไว้ให้ในวงเงินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ก็ไม่มีใครรับสายป้าเลย จนป้ายกธงยอมแพ้นั่งกอดเข่ารอความหวังอยู่หน้าโฮสเทล โดยหวังว่าหากมีนักท่องเที่ยวกลับมาก็จะได้อาศัยเขาเข้าไปรอภายในตัวที่พัก จนกระทั่งผ่านไปเกือบสามสิบนาท หญิงสาวในวัยกลางคนซึ่งเป็นความหวังมหาชนคนพลัดถิ่น ก็เดินเข้าตรอกเล็ก ๆ และมาหยุดตรงหน้าป้าพร้อมถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ป้าจึงยื่นหลักฐานการจองในมือซึ่งตอนนั้นยับยู่ยี่จนแทบไม่เป็นชิ้นดีให้เธอไป เธอจึงกล่าวขอโทษป้าเป็นการใหญ่เนื่องจากเธอออกไปทำธุระในบริเวณนี้จึงไม่คิดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพักในช่วงเวลานี้นั่นเอง ปัญหาใหญ่ในการท่องเที่ยวประเทศอิตาลีแบบแบบกเป้ ก็คือการติดต่อสื่อสารกับที่พักต้นทางในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งป้ามักจะประสบปัญหาในลักษณะคล้าย ๆ กัน คือ บ่อยครั้งผู้ดูแลที่พักจะเปิดห้องไว้ให้นักท่องเที่ยวเช่า หรือมีกิจการอื่นที่เขาต้องดูแลจึงไม่ได้อยู่หน้าเคาน์เตอร์ตลอดเวลา ดังนั้นการโทรหาและการนัดเวลาก่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็นก่อนจะเข้าที่พัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นวัฒนธรรมอันแตกต่างที่ป้าได้เรียนรู้จากการแบกเป้ ลุยเดี่ยว เที่ยวอิตาลี ที่พักของเวนิสจะมีหลายแบบหลายราคา โดยโฮสเทลที่ป้าพักมีค่าใช้จ่ายประมาณ 500 บาท ต่อคืน เป็นห้องนอนรวมไม่แยกหญิงชาย 4 เตียง โดยมีนักท่องเที่ยววัยรุ่นชาวอเมริกัน 3 คน พักอยู่ก่อนแล้ว ป้าจึงเป็นคนไทยคนเดียวในห้องนั้น ตอนเช้าก็มีอาหารเช้าแบบง่าย ๆ สไตล์ยุโรปจำพวก ไส้กรอก ขนมปัง เอาไว้ให้นักเที่ยวได้รับประทาน ลักษณะห้องพักแบบ Backpacker ของที่นี่จะคล้าย ๆ กับการนำบ้านหรืออาคารเก่ามาเปิดให้นักท่องเที่ยวได้พัก ซึ่งสภาพนั้นก็ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ของเจ้าของกิจการด้วย เพราะป้าเคยได้ยินลูกชายบรรยายสรรพคุณของห้องพักในเวนิสไว้ไม่ค่อยน่าประทับใจ แต่ถือเป็นความโชคดีของป้าเพราะในราคานี้ถือว่าได้ห้องพักดีกว่าที่คิดไว้มากเลยทีเดียว เมื่อจัดแจงเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็เข้าสู่ช่วงเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ป้าจึงเตรียมตัวหลงอย่างเต็มที่ด้วยการทิ้งเป้าหมายทั้งหมดที่มีแล้ว เดินสำรวจถนนหนทางในย่านที่พักก่อน ถนนหนทางในกรุงเวนิสนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ ธุรกิจการค้าก็คึกคักต่างจากฟลอเรนซ์และโรมลิบลับ เนื่องจากเวนิสเป็นเมืองแห่งสายน้ำทำให้การจราจรสายหลักที่คนทั่วไปใช้เดินทางไปในที่ต่าง ๆ คือ เรือนั่นเอง ลักษณะของเรือโดยสารที่นี่ก็มีหลายแบบ ทั้งแบบธรรมดา แบบเร่งด่วน(จอดบางป้าย) และแบบส่วนตัว(Taxi Boat) นั่นเอง ข้อดีอีกอย่างของย่านการค้าและการท่องเที่ยวคือไม่อนุญาตให้ผู้คนใช้รถยนต์ในการสัญจรจึงทำให้การเดินบนถนนในเมืองเวนิส เรียกได้ว่าปลอดภัยที่สุดในอิตาลีเลยก็ว่าได้ มหาวิหาร Santa Maria della Salute ป้าเดินผ่านอาคารสูงใหญ่และย่านร้านค้าทันสมัยบนถนนสายหลักในเมืองเวนิส จนกระทั่งพบกับแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรกและแห่งเดียวที่ป้าอยากแนะนำให้รู้จักในวันนี้ นั่นก็คือคือ มหาวิหารขนาดกำลังดีซึ่งตั้งอยู่ติดกับ Grand Canal นามว่า “Santa Maria della Salute” ความโดดเด่นอันเป็นตำนานของสถาปัตยกรรมแห่งนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1631 เมื่อสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในเมืองเวนิส ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งสถาปัตยกรรมเก่าแก่ในยุคต้นก็กลายสภาพเป็นซากปรักหักพังเสียเป็นส่วนใหญ่ ชาวเมืองจึงร่วมใจกันสร้าง มหาวิหาร Santa Maria della Salute ขึ้นมาเพื่อเป็นสิริมงคลและถือเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในเมืองเวนิสด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีการจะเข้าชม มหาวิหาร “Santa Maria della Salute” นั้นมีสองส่วนด้วยกัน หากเดินชมบรรยากาศภายในมหาวิหารนักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด แต่สำหรับใครอยากชมความงามของงานศิลป์แบบ exclusive แล้วไซร้ ต้องจ่ายเงินค่าเข้าชม 4 ยูโร ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าป้าตัดสินใจเยี่ยมชมรอบ ๆ เท่านั้นเพราะยังไม่อินกับงานศิลปะ แต่เมื่อกลับมาศึกษาข้อมูลของสถานที่แห่งนี้ทีหลังแล้วต้องอุทานออกมาเลยว่า “คุณพระ” เพราะไฮไลท์ของที่นี่ คือ ภาพวาดพิธีสมรสที่หมู่บ้านคานา (Marriage at Cana) ของ จาโคโป ทินโทเรตโต จิตรกรผู้เชี่ยวชาญงานเขียนสีน้ำมันคนสุดท้ายแห่งยุคเรอเนสซองส์ ที่ตั้งไว้ให้ชมในห้องประกอบพิธีนั่นเอง การหลงทางในกรุงเวนิส ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะเมืองนี้มีตรอกซอกซอยนับพัน ที่ไม่มีวันสำรวจได้ครบ แต่ถนนทุกเส้นหรือลำคลองทุกสายจะมีป้ายบอกทางให้นักท่องเที่ยวหาทางออกสู่ถนนสายหลักได้เสมอ เปรียบเสมือนเส้นทางชีวิตของคนเรา ในบางครั้งเราอาจจะเคยเลือกเส้นทางที่ผิดพลาด แต่ป้าเชื่อว่าถนนทุกสายย่อมมีทางออกให้เราเสมอ เพียงแต่ตอนนี้เราอาจยังไม่เจอมันเท่านั้นเอง ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน