เมื่อชีวิตคือการเดินทาง การผูกติดกับสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งเป็นระยะเวลายาวนานย่อมไม่ส่งผลดีต่อสถานภาพทางการเงินในกระเป๋าของเราแน่นอน ดังนั้นการ Move On เพื่อหาความท้าทายใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งที่ “ป้านวล”พยายามท่องไว้ในใจเสมอ เพราะการท่องเที่ยวก็เหมือนกับการใช้ชีวิตซึ่งหากเรายึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนเกินไปจะส่งผลให้เกิดความผูกพันธุ์อย่างลึกซึ้งข้างในจิตใจ จนทำให้เราเกิดความลำบากใจเมื่อเราต้องก้าวเดินจากสถานที่หรือสิ่งนั้นไปนั่นเอง 10 วันในกรุงโรมนั้นเต็มไปด้วยความประทับใจ ไม่มีวันไหนที่ทำให้หญิงชรารู้สึกเบื่อหน่ายกับการแบกเป้ออกไปผจญภัยเลยแม้แต่วันเดียว ถึงแม้ชีวิตของป้าจะวนเวียนอยู่กับการหลงทางอยู่ทุกชั่วขณะ แต่อุปสรรคเหล่านี้กลับนำมาซึ่งความประทับใจในมิตรภาพที่คนแปลกหน้ามอบให้เธอสม่ำเสมอ กระทั่งวันสุดท้ายในกรุงโรมก็มาถึง เธอบอกลา “Hotel Marsala” , มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ,สนามกีฬาโคลอสเซียม,น้ำพุเทรวี่ และมหานครวาติกัน พร้อมกับมุ่งหน้าสู่เมืองฟลอเรนซ์ เมืองหลวงของแคว้นตอสกานา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศเพื่อตามหาปริศนาแห่งงานศิลป์ ซึ่งเหล่าศิลปินเอกของโลกในยุคเรอเนสซองส์ อาทิ ไมเคิล อันเจโล,ลีโอนาร์โด ดาวินชี่ และ กาลิเลโอ-กาลิเลอี ได้ฝากผลงานระดับมาสเตอร์พีซเอาไว้มากมาย การเดินทางจากกรุงโรมไปยังเมืองฟลอเรนซ์นั้น นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการได้หลากหลายช่องทาง อาทิ เครื่องบิน รถไฟ รถบัสระหว่างเมือง และรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งป้าเลือกใช้บริการรถไฟความเร็วสูง Trenitalia ซึ่งวิ่งด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที สนนราคาค่าโดยสารอยู่ที่ 17 ยูโร หรือประมาณ 600 บาท โดยรถไฟของที่นี่ค่อนข้างสะอาดมีการระบุที่นั่งชัดเจน แถมมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้ใช้(แต่เสียค่าใช่จ่ายประมาณ 30 บาท)ในระหว่างการเดินทาง อย่างไรก็ดีปัจจัยสำคัญที่ทำให้ป้าเลือกใช้รถไฟก็คือความสวยงามของเส้นทางระหว่างสองข้างทางซึ่งเต็มไปด้วยฟาร์มสัตว์ อีกทั้งความถี่ของขบวนรถไฟสายนี้ซึ่งออกจากสถานี Roma Termini ทุก ๆ 30 นาที เป็นองค์ประกอบสำคัญซึ่งค่อนข้างสะดวกต่อการเดินทางนั่นเอง เพียงก้าวแรกที่เหยียบลงสถานี Piazza della Stazione ป้ารู้สึกว่าเราลงผิดสถานีหรือเปล่า? เพราะภาพที่คิดไว้เกี่ยวกับที่นี่คงวุ่นวายไม่แพ้ Roma Termini แน่นอน แต่สิ่งที่คิดกลับผิดถนัด เมื่อทุกอย่างค่อนข้างเงียบสงัดราวกับไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ผู้คนต่างทยอยเดินออกจากสถานีไปยังจตุรัสขนาดกำลังดีซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟ ส่วนตัวป้านั้นจำเป็นต้องนำสัมภาระเข้าไปเก็บยังที่พักก่อนที่จะออกไปผจญภัยในตัวเมืองฟลอเรนซ์ต่อไป หากกรุงโรมเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรมอันโดดเด่น เมืองฟลอเรนซ์นั้นก็เปรียบเสมือนเมืองเอกแห่งงานศิลป์ซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยศิลปินผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์เตรียมที่จะมาจุติบนโลกใบนี้ตลอดเวลา ป้าจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมศิลปินทั่วแผ่นดินในยุคเรอเนสซองส์(ปี ค.ศ. 1450-1600)ต่างบ่ายหน้ามาขุดทองยังเมืองฟลอเรนซ์กันอย่างคับคั่ง เพราะไม่ว่าเราจะเดินไปตามถนนหนทางเส้นใดในเมืองฟลอเรนซ์ ต่างมีงานศิลปะปรากฏให้เห็นได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมอันใหญ่โตมโหฬารซึ่งมีรูปแบบงดงามและเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงรูปปั้นมนุษย์ซึ่งรังสรรค์ออกมาได้ประดุจมีชีวิตจริง ตลอดจนถึงภาพเขียนและงานจิตรกรรมต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถพบเห็นได้เป็นปกติแม้กระทั่งบนท้องถนนนั่นเอง จัตุรัสซินญอเรีย(Piazza della Signoria)และซุ้มประตูลอกเจีย ดี ลานซี (Loggia dei Lanzi) จุดแรกที่ป้าหมายตาไว้ว่าต้องไปให้ได้คือ จัตุรัสซินญอเรีย(Piazza della Signoria)และซุ้มประตูลอกเจีย ดี ลานซี (Loggia dei Lanzi) ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในจตุรัสที่ควรค่าต่อการมาเยี่ยมชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศอิตาลี เนื่องจากอุดมไปด้วยกิจกรรมการแสดงต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมงานศิลปะจากศิลปินระดับโลกมากมายอีกด้วย แลนด์มาร์คที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ น้ำพุเนปจูน ศูนย์รวมแห่งทวยเทพที่สะกดทุกสายตาให้มองมาที่รูปปั้นขนาดใหญ่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1565 ด้วยความร่วมมือของศิลปินถึงสองท่านด้วยกัน และหากเรามองตามสายตาของเทพเนปจูนไปเรื่อย ๆ ก็จะพบกับรูปปั้นสิงโตเหยียบลูกโลกขนาดใหญ่(ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับยี่ห้อของจักรยานในยุคป้าแต่อย่างใด) แต่ที่เป็นไฮไลท์ของบริเวณนี้คงหนีไม่พ้น"รูปปั้นเดวิด"หนุ่มหล่อที่สุดในปฐพีจากฝีมือของศิลปินชื่อก้องโลกอย่าง ไมเคิล อันเจโลซึ่งถูกนำมาจำลองไว้ในบริเวณซุ้มประตูลอกเจีย ดี ลานซี นั่นเอง เมื่อชมความฟินของงานศิลป์บริเวณจัตุรัสซินญอเรียจนอ่อนเพลียแล้ว ป้าก็มุ่งหน้าไปตามลายแทงที่เจ้าของอพาร์ทเมนต์ให้มาเพื่อไปชมสัญลักษณ์ของเมืองคือสะพานปอนเต เวคคิโอ(Ponte Vecchio)ซึ่งเป็นสะพานหินที่ถูกสร้างในยุคกลางเก่าแก่ที่สุดในเมืองฟลอเรนซ์ โดยสันนิษฐานว่าสร้างในปี ค.ศ.996 เพื่อให้ชาวเมืองได้ใช้สัญจรข้ามแม่น้ำอาร์โน ซึ่งแบ่งเมืองฟลอเรนซ์ออกเป็นสองส่วนนั่นเอง เนื่องจากระหว่างจัตุรัสซินญอเรียไปสะพานปอนเต เวคคิโอนั้น มีระยทางห่างกันเพียง 900 เมตร นักท่องเที่ยวจึงสามารถเดินตัดถนน Piazza della Signoria มาเข้าถนน Por Santa Maria ได้เลย อย่างไรก็ดีการซ่อมแซมถนนของประเทศอิตาลีดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคใหญ่พอ ๆ กับความรู้ทางเทคโนโลยีที่ป้ามี ดังนั้นป้าจึงต้องเดินตัดออกมาฝั่งประตูลอกเจีย ดี ลานซี เพื่อออกสู่ถนนเรียบแม่น้ำอาร์โนนั่นเอง การเดินทางอ้อมเมืองในครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีกว่าป้าจะออกสู่ถนนเรียบแม่น้ำอาร์โนได้ ที่โชคร้ายกว่านั้นก็คือ ท่ามกลางอากาศอันแจ่มใสผ่านไปไม่ทันไรก็ถูกปกคลุมด้วยเมฆฝนก้อนใหญ่เสียอย่างนั้น พูดไม่ทันขาดคำสายฝนก็โปรยปรายลงมาอย่างหนาเม็ดทำให้ป้าต้องเลิกล้มภารกิจพิชิตสะพานหินสุดคลาสสิกแห่งนี้ทันที จึงทำได้เพียงถ่ายรูปจากมุมไกลและไม่มีโอกาสที่จะได้กลับไปถ่ายภาพสะพานแห่งนี้กลับมาฝากเพื่อน ๆ ที่เมืองไทยอีกเลย สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจคือสิ่งที่นักท่องเที่ยวจากแดนไกลจำต้องทำใจยอมรับ บ่อยครั้งที่ “ป้านวล”ต้องพลาดพลั้งให้กับความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศและเหตุสุดวิสัยอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ทำให้เธอย่อท้อแต่อย่างใด ประสบการณ์เหล่านี้ได้สอนให้เธอหันหลังกลับไปตั้งหลักเพื่อแก้ไขปัญหา ดีกว่าฝืนเดินฝ่าสายฝนออกไปทั้งที่รู้ว่าอย่างไรเสียก็ต้องเปียกฝนอยู่ดี ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน สามารถอ่านเรื่องราวการเดินทางของป้านวลย้อนหลังได้ ป้านวลชวนเที่ยว ลุยเดี่ยวเที่ยวเมืองมะกะโรนี EP.1 ป้านวลชวนเที่ยว หยุดตรงนี้ที่โคลอสเซียม EP.2