การเดินทางจะมีคุณค่าต่อเมื่อเรารู้สึกว่าได้ใช้เวลาไปกับสถานที่นั้นมากพอ นับตั้งแต่วันแรกที่ “ป้านวล”ก้าวเท้าออกจากเมืองไทย จนถึงวันนี้ก็ล่วงเลยไปกว่า 20 วันแล้วที่หญิงสูงวัยได้ใช้ชีวิตอยู่ในทวีปยุโรปตามลำพัง ถึงแม้เธอจะพบเจอกับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ แทบทุกวัน แต่เธอยังคงมีความสุขกับการผจญภัยบนโลกใบใหญ่ด้วยหัวใจที่ยังมีไฟอยู่ตลอดเวลา ความผิดพลาดครั้งสำคัญในการเดินทางครั้งนี้ของป้านวล คือมีเวลาอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์เพียง 2 วัน ซึ่งถือว่าน้อยเกินไปสำหรับการเดินสำรวจทุกซอกทุกมุมในเมืองอันน่าพิสมัยแห่งนี้ เพราะฟลอเรนซ์ ถือว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับ 5 ของประเทศ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางศิลปะวิทยาการตลอดจนเคยเป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศอิตาลีในศตวรรษที่ 18 อีกด้วย ดังนั้นภารกิจพิชิตฟลอเรนซ์ในวันสุดท้ายของป้านวลจึงใช้ทฤษฎี How to ทิ้งสถานที่น่าสนใจบางแห่งไปเพื่อรักษาหัวใจหลักของการเดินทางครั้งนี้เอาไว้นั่นเอง สถานที่แรกซึ่งทิ้งไม่ได้เลยของเมืองฟลอเรนซ์ คือ มหาวิหารฟลอเรนซ์(Basilica di Santa Maria del Fiore) ซึ่งเป็นอาสนวิหารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ และอันดับ 4 ของทวีปยุโรป ซึ่งใครก็ตามที่มาเยือนเมืองแห่งนี้ ชื่อของมหาวิหารฟลอเรนซ์จะต้องถูกพรีเซนต์เป็นลำดับแรกอย่างแน่นอน เนื่องจากมหาวิหารฟลอเรนซ์มีขนาดใหญ่มาก จึงมีการแบ่งพื้นที่เข้าชมออกเป็นโซนต่าง ๆ มากมาย โดยโซนแรกที่เปิดให้เข้าชมฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้แก่ตัวโบสถ์ขนาดใหญ่ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นศาสนสถานที่มีภาพวาดงานศิลปะอันงดงามตระการตา และในส่วนของพื้นที่นิทรรศการงานแสดงรูปปั้นและอัตถชีวประวัติของศิลปินคนสำคัญของเมืองฟลอเรนซ์หลายท่าน อาทิ ไมเคิล อันเจโล , จอตโต ดี บอนโดเน และ โดนาเตลโล เป็นต้น ส่วนที่สองประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์,หอล้างบาป,โดม และหอระฆัง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วนแตกต่างกันออกไป แต่ป้าเห็นคนส่วนใหญ่มักจะซื้อแพ็คเกจแบบเหมาจ่าย 18 ยูโร ซึ่งสามารถเข้าชมได้ทุกส่วน และหากใครอยากได้อรรถรสของการเข้าชมแบบป้าก็สามารถเช่าชุดหูฟัง sound track ที่มีการบรรยายหลายภาษายกเว้นภาษาไทย ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวในราคา 4 ยูโรนั่นเอง ดังนั้นท่านผู้อ่านไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมป้าถึงบรรยายให้ทุกท่านเห็นภาพราวกับนั่งไทม์แมชชีนกลับไปในศตวรรษที่ 14 เนื่องจากมีตัวช่วยที่ดีสามารถเปิดฟังได้หลายทีหากเราไม่เข้าใจอีกด้วย ไฮไลท์สำคัญของการเข้าชมมหาวิหารฟลอเรนซ์คือการเดินผ่านบันได้ 468 ขั้นของหอระฆังที่มีความสูง 87 เมตร เพื่อขึ้นไปชมทิวทัศน์ชั้นบนสุดของมหาวิหาร ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของเมือง และตามความเชื่อในเรื่องของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ชาวฟลอเรนซ์จึงถือกันมากว่าไม่ควรมีสิ่งปลูกสร้างชิ้นใดมีความสูงเทียบเท่าหรือสูงกว่าโดมของมหาวิหารแห่งนี้นั่นเอง อย่างไรก็ดีข้อควรระวังของการมาเยี่ยมชมมหาวิหารฟลอเรนซ์แห่งนี้ คือนักท่องเที่ยวควรตรวจสอบวันและเวลาในการเข้าชมให้ดีเนื่องจากมหาวิหารแห่งนี้ปิดให้บริการทุกวันอาทิตย์ และวันสำคัญทางศาสนา ส่วนเวลาในการเข้าชมนั้นจะแตกต่างกันออกไปโดยในช่วงวันจันทร์-วันศุกร์ประตูวิหารจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00 -16.30 น. และในส่วนของสถานที่ซึ่งเสียค่าบริการเข้าชมจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 08.30 – 19.30 น. ในส่วนของวันเสาร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงวันและเวลาเข้าชมตามความเหมาะสม Piazza del Duomo หลังจากเก็บภาพความประทับใจกันจนเต็มอิ่มก็มาต่อกันที่ จัตุรัส Piazza del Duomo ซึ่งอยู่ติดกับมหาวิหารฟลอเรนซ์เลยนั่นเอง ย้อนกลับไปในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นใจกลางเมืองเก่าซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้าของเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งรายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมโอ่อ่า ใหญ่โตมโหฬาร ตามสไตล์เรอเนสซองส์ เมื่อความนิยมได้เสื่อมคลายลงปัจจุบันบริเวณนี้จึงกลายเป็นแหล่งค้าขายผลงานทางด้านศิลปะของบรรดาศิลปินผู้ต้องการเจริญรอยตามไอดอลของเขา ซึ่งไม่แน่ว่าภาพที่เราซื้อหาจากตลาดงานศิลป์แห่งนี้อาจกลายเป็นสิ่งมีค่าที่ไม่สามารถประเมินราคาได้ในอนาคตก็เป็นได้ หลังจากเที่ยวชมงานศิลปะจนหนำใจแล้วป้านวลก็ยังรักษาคอนเซปต์ในการเดินทางของเธอย่างเหนียวแน่น นั่นคือการหลงเมืองฟลอเรนซ์จนพลาดการเข้าชม “อาสนวิหารซานตาโครเช” ซึ่งถือว่าเป็นศาสนสถานของกลุ่มฟรานซิสกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยภายในแลนด์มาร์คแห่งนี้มีงานศิลปะของศิลปินชื่อก้องโลกที่เคยฝากผลงานไว้ในเมืองฟลอเรนซ์แทบทุกกคน อีกทั้งยังมีอนุสรณ์สถานหรือที่บรรจุศพของศิลปินและผู้มีชื่อเสียงในกรุงฟลอเรนซืมากมายอีกด้วย อย่างไรก็ดีเจ้าของอพาร์ทเมนต์ที่ป้าเข้าพักได้ปลอบใจให้ป้ารู้สึกผิดน้อยลงไปนิดหน่อยว่า หากได้เข้าชมมหาวิหารฟลอเรนซ์แล้วก็ถือว่าได้ชมอัตลักษณ์ของเมืองฟลอเรนซ์ครบทุกอย่างแล้ว เพราะสถานที่แห่งนี้คือศูนย์รวมความเป็นที่สุดของเมืองไว้แล้วนั่นเอง การหลงทางในกรุงฟลอเรนซ์ครั้งนี้ ถึงแม้จะทำให้"ป้านวล"พลาดการเข้าชมแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองฟลอเรนซ์ไปอย่างน่าเสียดาย แต่อีกมุมหนึ่งป้าก็ได้มองเห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ซึ่งอิงแอบแนบชิดอยู่กับงานศิลปะชนิดที่พวกเขาพร้อมจะยอมตายถวายชีวิตเพื่อแลกกับงานที่พวกเขารักโดยไม่สนใจผลลัพธ์ในบั้นปลายชีวิตเลยทีเดียว นี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ศิลปินชื่อก้องโลกหลายคนเลือกเมืองฟลอเรนซ์เป็นจุดเริ่มต้นในการทำมาหากิน เพราะคนที่นี่เห็นคุณค่าและพร้อมที่จะจ่ายเงินไม่อั้นเพื่องานศิลปะ ป้าจึงไม่แปลกใจเลยว่าตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองฟลอเรนซ์มักจะพบเห็นจิตกรตามท้องถนนจำนวนมากเนรมิตรผลงานของเขาผ่านจินตนาการอย่างตั้งใจ เพียงเพื่อแลกกับเงินบริจาคของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาที่มองเห็นคุณค่าในงานของพวกเขา สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นอีกแง่มุมของชีวิต ซึ่งบางครั้งอำนาจ วาสนา และเงินตราก็ไม่สามารถประเมินคุณค่าของความเป็นคนได้เสมอไป ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน