สว่างอื่น อันใด ในอากาศ ไม่โอกาส เท่าสว่าง ตะวันฉายแรงสิ่งอื่น เข้มแข็ง ที่แรงร้าย ก็แพ้พ่าย แรงกรรม ที่ทำมา (ท่านมหากวี สุนทรภู่)ตอนนี้โทรทัศน์แทบทุกช่อง และ Social Media ได้ประโคมข่าวอันเป็นข่าวใหญ่เป็นที่ครึกโครม แทบจะกลบข่าวcovid-19 เสียหมดสิ้น เพราะทุกคนต่างจ้องจับตามองไปที่ข่าวข้าราชการระดับหัวหน้าหน่วย รีด เรียก รับ เงินจากผู้อื่น จนต้องถูกตั้งกรรมการสอบทางวินัย และตกเป็นผู้ต้องหาทางคดีอาญา ได้รับผลกรรมจากการหลงในอำนาจ จึงขออัญเชิญพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่ผู้สำเร็จการศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ สวนอัมพร วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๕ ดังนี้...การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ความชั่ว ซึ่งทำได้ง่าย จะเข้ามาแทนที่ และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว แต่ละคนจึงต้องตั้งใจ และเพียรพยายามให้สุดกำลัง ในการสร้างเสริมและสะสมความดีอันธรรมดาจิตของมนุษย์เรานั้น มักจะไหลลงหาความชั่วได้ง่าย เพราะจิตนั้นมีความไวมาก ไวกว่าความเร็วแสงเสียอีก ความคิดต่าง ๆ ซึ่งเป็นการทำงานของสมองนั้นก็ยังไวไม่เท่ากับจิต เพราะมันจะเกิดขึ้นทันทีโดยที่สมองยังไม่ทันคิด แล้วแต่ว่าจิตจะไปในทางดีหรือทำชั่ว ถ้าตัวสติไม่ไวเท่าทันด้วยแล้ว ความชั่วก็จะเข้ามายึดพื้นที่ในจิตเสียสิ้น จนทำให้ อุปกิเลสฝ่ายอกุศล ที่ปกติจะเหมือนตะกอนนอนนิ่งอยู่ในส่วนลึกของจิตนั้นฟุ้งกระจายออกมา อุปกิเลสตัวนั้น เรียกว่า อภิชฌาวิสมโลภะ คือความเพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่นด้วยความมัวเมา คำว่าของในที่นี้หมายรวมถึงทุกสิ่ง เช่นทรัพย์สินเงินทอง บุคคล ผลประโยชน์ สิ่งของ ยศตำแหน่ง และลาภผลดลบันดาลต่าง ๆ ความเพ่งเล็งอยากได้ตามต้องการจะเติบโตกล้าแข็งขึ้น จะเปลี่ยนความเพ่งเล็งจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง จากยศ จากตำแหน่งไปสู่ทรัพย์สินเงินทอง จนยากที่จะหยุดยั้งได้ด้วยสติอ่อน ๆ สภาวะจิตที่ไหลเลื่อนไปตามแรงขับเคลื่อนของตัณหา เหมือนสายน้ำที่ตกลงจากโตรกผาสู่หุบเหว ยากสุดจะยับยั้ง จึงกระทำได้ทุกอุบาย ทุกวิธีการ เพื่อให้ได้สนองกิเลสสมมาตรปรารถนา และเมื่อหันมามองด้านการจัดการศึกษาให้กับเยาวชนในปัจจุบันนั้นก็เฉกเช่นเดียวกัน แทนที่จะให้เป็นไปเพื่อให้รู้เท่าทันกิเลส กลับเป็นหลักสูตรเร่งเร้าเพิ่มพูนกิเลสให้รุนแรงขึ้น สังคมไทยจึงตกอยู่ในภาวะน่ากลัว ประเทศชาติในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หากเรามีเผ่าพันธุ์ทรัพยากรมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความโลภโมโทสันเช่นนี้ความเพ่งเล็งอยากได้นี้จะทำงาน และเพิ่มพลังอำนาจขึ้นในจิตอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งบดบังจิตฝ่ายกุศล คือความเมตตากรุณา หิริโอตตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป ความดีงามในศีลธรรมทุกๆอย่าง จะยอมทำทุกสิ่งเพื่อรับใช้กิเลสที่เป็นเจ้านาย หากคนคนนั้นไม่ได้มีบุญเก่ามาเกื้อหนุน เทวดาประจำตัวไม่ได้ปกปักรักษา ช่วยดลจิตดลใจเรียกสติให้กลับคืนมา ก็จะหน้ามืดตามัว กระทำการต่างๆ จนผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม ต้องตกเป็นผู้ต้องหา ถูกดำเนินคดีอาญาร้ายแรง ทำให้ชีวิตตกหล่นลงในอเวจีนรกโดยยังไม่ทันต้องตายจริงๆเพียงชั่วข้ามคืน ไม่เหลือสง่าราศีของคนมีบุญมากมาแต่เดิม มิหนำซ้ำบริวารใกล้ชิดก็ต้องมาพลอยรับเคราะห์กรรมตามไปด้วยนัตถิ กัมมัง สมะ พลัง แรงใดในโลกเสมอด้วยแรงกรรมนั้นไม่มี แรงกรรมเป็นแรงตามธรรมชาติ ที่อยู่คู่โลก มีมาแต่ครั้งเริ่มเกิดขึ้นของสัตวโลก เช่นเดียวกับแรงอื่นๆเช่นแรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนและแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม อันเป็นแรงหลักในจักรวาลที่ได้รับการพิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์ว่ามีอยู่จริง แรงทั้ง 4 นี้ มีพลังสูงมาก เช่นแรงโน้มถ่วงนั้น จะดึงให้ทุกสรรพสิ่ง ร่วงตกลงมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสสาร พลังงานหรือแม้แต่กาล-อวกาศ ก็ถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดจนบิดเบี้ยวโค้งงอ และยังมีพลังลึกลับที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีอยู่จริงในจักรวาล เพราะลำพังแรงโน้มถ่วงนั้นเมื่อคำนวณจากมวลของดาวแต่ละดวงและระยะห่างระหว่างดวงดาวนั้นมีพลังไม่เพียงพอที่จะทำให้เอกภพขยายตัวด้วยความเร่งและมีความเร็วมากกว่าแสงอยู่ได้ในขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงเรียกพลังนี้ว่า พลังงานมืด เป็นพลังที่ทำให้โลก และดวงดาวต่างๆในจักรวาล หมุนวนโคจรกันเป็นระบบ และยึดโยงแกแลคซีต่าง ๆ ในเอกภพไม่ให้ฉีกขาดออกจากกัน และยังมีแรงหรือพลังตามธรรมชาติอื่นอีกมากมายในจักรวาล ที่มนุษย์ยังพิสูจน์ให้ชัดเจนไม่ได้ กฎแห่งกรรมก็เช่นกันที่เป็นแรงลึกลับชนิดหนึ่งที่มีพลังในการกำหนดชีวิตคน หมุนวนส่งผลต่อชีวิต และจำแนกสัตว์โลกให้ประณีตหรือหยาบตามกรรมที่กระทำ คนทุกคนจึงเป็นทายาทแห่งกรรม คือเป็นทายาทที่ต้องรับมรดกของการกระทำ ทั้งทำดีและทำชั่ว ก็ต้องรับผลแห่งการกระทำนั้นอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า " มีอยู่ 2 อย่างที่ไม่สิ้นสุดคือ จักรวาลกับความโง่ของมนุษย์ แต่ข้าพเจ้าไม่แน่ใจในอย่างแรก" หมายความว่า เขาไม่แน่ใจว่าจักรวาลนั้นมีขอบเขตสิ้นสุดหรือไม่ แต่แน่ใจว่า ความโง่ของมนุษย์นั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเมื่อใดที่มนุษย์เกิดความโลภ ความโง่จะมีขึ้นเมื่อนั้น และความโลภของมนุษย์นั้นจะไม่มีที่สิ้นสุดมนุษย์ผู้มีอวิชชาทั้งหลาย เพราะความไม่รู้ จึงไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม ถึงกับมีคนพูดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป เรื่องของกรรมนั้นเป็นเรื่องสลับซับซ้อน การให้ผลของกรรม หรือกรรมวิบาก เป็น 1 ใน 4 ของปัญหาอจินไตย คือเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรคิด เพราะเป็นเรื่องที่ไม่อาจขบคิดได้ด้วยสมอง ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วนั้น จะส่งผลก็ต่อเมื่อมีความเหมาะสม เมื่อได้จังหวะ ได้โอกาส มันก็จะแสดงผลทันที มันปล่อยให้มนุษย์เกิดนันทิ เพลิดเพลินจำเริญใจไปกับความสุขสำราญทางโลกียะ กับลาภ ยศ สรรเสริญสุข แต่เมื่อได้จังหวะเหมาะสม กรรมชั่วก็จะกวาดความสุขความเจริญและความดีงามทุกอย่างไปจากชีวิต ไม่ให้เหลือแม้แต่อิสรภาพอันเป็นสิทธิเบื้องต้นที่มนุษย์พึงมีดั่งพุทธดำรัสของพระบรมศาสดาที่ทรงตรัสไว้ว่า " เมื่อกรรมชั่วยังไม่ให้ผล คนชั่วย่อมบันเทิง แต่เมื่อใดที่กรรมชั่วส่งผล คนชั่วย่อมตกนรก " อมตะพุทธวาจาของพระพุทธองค์นั้น เป็นจริงหรือไม่ ก็ให้พิจารณาดูเอาเถิด เพราะมีให้เห็นเป็นข่าวอยู่เนือง ๆเหตุที่มนุษย์หลายคนไม่เชื่อ ไม่ตรึกตรอง ไม่พินิจพิจารณาและไม่น้อมมาใส่ใจในเรื่องกฎแห่งกรรม ก็เพราะเห็นคนทำชั่วกลั้วบาปนั้น มีมากมาย ที่ไม่ได้รับผลร้ายแรงแห่งกรรม ยังเห็นอยู่ดีมีสุขทุกคืนวัน ก็เป็นเพราะคนเรานั้น ไม่ใคร่ได้ติดตามชีวิตของใคร ๆ ไปจนตลอด และไม่มีใครรู้ละเอียดลึกซึ้ง รู้จริงไปถึงสภาวะอื่น ๆ ของใคร ๆ และได้เห็นแต่เพียงภายนอก ที่อาจดูดีมีความสุข ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะป่วยทางใจ ภายในจิตมีแต่ความหวาดระแวง นอนก่ายหน้าผาก ระทมอมทุกข์อยู่ในนรกห้องแอร์ หรือมีเรื่องร้ายๆส่วนตัว ที่ใครๆนั้นมองเห็นได้ไม่หมด เหมือนได้ดูละครเป็นเพียงตอนๆ ไม่ได้ดูจนจบทั้งเรื่องแต่สิ่งที่ใคร ๆ มองไม่เห็น และไม่อาจเกิดขึ้นได้กับคนทำกรรมชั่วอย่างแน่นอน ก็คือความสุขความสงบร่มเย็นอย่างแท้จริงในดวงจิต ความปีติปลาบปลื้ม ความภาคภูมิใจในตนเองและความองอาจในที่ประชุมนั้น จะมีอย่างแท้จริงไม่ได้เลยในหมู่คนทุศีล ทำได้แต่เพียงการเสแสร้งแกล้งสุข แต่อกตรมขมไหม้ เพราะในจิตใจลึก ๆ นั้นย่อมรู้อยู่ถึงความชั่วของตน จึงกังวลหวาดกลัวในความชั่วที่ตนทำพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า " มนุษย์นั้นเหมือนป่ารกชัฏ แม้จะมองเห็นได้ ก็มองได้ไม่ทะลุปรุโปร่ง สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงต้องเวียนเกิดเวียนตาย เพื่อให้กฎแห่งกรรมทำงานได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ "สิ่งในโลกใกล้ตัวที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ โดยไม่ต้องบรรลุฌานขั้นสูงจนมองเห็นได้ด้วยตาในดั่งพระอริยะเจ้า เราก็ได้พบเห็นคน และสัตว์เดรัจฉาน ที่แต่ละชีวิตมีความแตกต่าง สูงต่ำดำขาว ต่างกันราวฟ้ากับเหว จะสมบูรณ์พูนทรัพย์ หรือขาเสียเปลี้ยง่อย พิกลพิการต่างๆนานา เป็นคนดีมีปัญญาหรือโง่เง่าเต่าตุ่น สิ่งที่บังเกิดขึ้นล้วนแต่เกิดมาจากแรงหลักอันยิ่งใหญ่เพียงสิ่งเดียวก็คือ " แรงแห่งกรรม " เพราะแรงใดในโลกเสมอด้วยแรงกรรมนั้นไม่มี อำนาจที่มีไว้สร้างกรรมจึงเป็นดาบสองคม อำนาจยิ่งมีมากก็ส่งผลจากการกระทำนั้นให้เกิดกับโลกกับชีวิตผู้อื่นและกับตนเองมากตามไปด้วย แล้วแต่ว่าจะใช้อำนาจสร้างกรรมในทางกรรมดีหรือทางกรรมชั่ว และแรงกรรมจะรอจังหวะเพื่อให้ผลของกรรมอยู่ตลอดไปตราบที่ผู้กระทำกรรมยังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ไม่มีอายุความ ไม่จำกัดกาลเวลามีอำนาจ อย่ามีไว้ ใช้อำนาจ มีฉลาด อย่ามีไว้ ใช้ฉ้อฉล มีทรัพย์สิน อย่ามีไว้ ใช้เปรอปรน มีตัวตน อย่ามีไว้ ใช้อัตตา มีอำนาจไม่อิ่มหนำ ในอำนาจ จะพาพลาด ผิดพลั้ง ระวังหนา ขี่หลังเสือ เพลิดเพลินเกินเวลา ไม่นานช้า ก็เป็นเหยื่อให้เสือกิน"จงใช้ธรรมเป็นอำนาจ อย่าใช้อำนาจเป็นธรรม"เขียนโดย พระยมอมยิ้มภาพปก ภาพถ่ายโดย Daisy Anderson จาก Pexelsภาพประกอบที่ 1 ภาพโดยผู้เขียนภาพประกอบที่ 2 ภาพถ่ายโดย David Cassolato จาก Pexelsภาพประกอบที่ 3 ภาพถ่ายโดย cottonbro จาก Pexelsภาพประกอบที่ 4 ภาพถ่ายโดย Karolina Grabowska จาก Pexelsภาพประกอบที่ 5 ภาพถ่ายโดย Pixabay จาก Pexelsภาพประกอบที่ 6 ภาพถ่ายโดย Mariana Montrazi จาก Pexelsขอบคุณที่อ่านบทความของพระยมอมยิ้มครับFacebook : Ajarn.JarunCorrectYoutube : youtubeอัปเดตความรู้ใหม่ ๆ อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !