ผักโขม เกี่ยวข้องกับชื่อผักภาษาอังกฤษ 2 ชื่อคือ Amaranth (อัมมะรันธ์) ที่แปลว่าผักโขม กับ Spinach (สปินนิช) ที่แปลว่าผักปวยเล้ง และนี่คือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจผิด 4 เรื่องเกี่ยวกับผักโขม ที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ตามมาเรื่องที่ 1 เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว คือราวปี 1870 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Erich von Wolf ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับธาตุเหล็กในผักชนิดต่างๆ เขาได้ตีพิมพ์ว่า ผักปวยเล้ง (spinach) มีธาตุเหล็กสูงถึง 35 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักผัก 100 กรัม แต่ในตัวเลขที่ถูกต้องคือ 3.5 มิลลิกรัม ซึ่งการพิมพ์ผิดครั้งนี้ทำให้ชาวตะวันตกหันมาบริโภคผักปวยเล้งมากขึ้น ด้วยความเข้าใจผิดว่า จะได้รับธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นที่มาของภาพ: https://kingfeatures.com/เรื่องที่ 2 ถัดมาอีกราว 50 ปี คือในปี 1929 มีการสร้างการ์ตูนเรื่อง “ป๊อปอาย” โดย Elzie Crister Segar ซึ่งตัวเอกในเรื่องจะต้องกิน ผักปวยเล้งจากกระป๋อง แล้วทำให้ตัวเองมีกล้ามเนื้อและพละกำลังเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ซึ่งปัจจัยของความเข้าใจผิดทั้งสองเรื่องนี้ทำให้ผู้คนนิยมบริโภคผักปวยเล้งมากขึ้น และแม้ว่าจะมีการออกมาแก้ไขตัวเลขที่พิมพ์ผิดของ Erich von Wolf ในปี 1937 แต่ความเข้าใจผิดว่าผักปวยเล้งมีธาตุเหล็กสูง ก็ยังถูกบอกเล่าจากรุ่นสู่รุ่นและความเข้าใจผิดเรื่องนี้ก็ได้ทำให้เกิดความสร้างสรรค์ขึ้นอย่างน้อย 2 อย่างคือ เกษตรกรที่ปลูกผักปวยเล้งก็มีธุรกิจที่ดีขึ้น และผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์ทางโภชนาการ แม้ว่าปริมาณธาตุเหล็กจะไม่ได้สูงกว่าผักชนิดอื่นๆ อย่างท่วมท้น แต่ในผักปวยเล้ง ก็ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, วิตามิน A, วิตามิน C, วิตามิน K, กรดโฟลิค และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอความแก่ในระดับเซลล์อีกด้วยที่มาของภาพ: https://www.popeyespinach.com/spinachและนอกจากนี้ ยังมีการค้นพบว่า ในผักปวยเล้ง ยังมีฮอร์โมนจากพืชชนิดหนึ่ง ชื่อว่า เอคดิสเตอรอยด์ (ecdysteroids) ที่ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ แม้จะมีในปริมาณน้อยนิด แต่ก็ทำให้การ์ตูนป๊อปอายมีความจริงมาผสมในสัดส่วนมากขึ้นเรื่องที่ 3 ทั้งๆที่ spinach แปลว่า ผักปวยเล้ง แต่เมื่อการ์ตูนป๊อปอายนำเข้ามาฉายในประเทศไทย ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด ผู้แปลจึงเลือกแปล spinach ว่า ผักโขม ซึ่งความเข้าใจผิดนี้ทำให้ดิคชันนารีบางเล่ม เลือกจะแปล spinach เป็นภาษาไทยว่าผักโขม แทนที่จะเป็นผักปวยเล้ง และเลือกแปลผักโขม หรือผักขม เป็นภาษาอังกฤษว่า spinach แทนที่จะแปลว่า amaranth และมีคนไทยมากมายที่เข้าใจผิดเช่นนี้มาตลอดหลายสิบปีจึงไม่แปลกใจว่า เมื่อภัตตาคารฝรั่งนำเมนู “Baked Spinach with Cheese” เข้ามาเสิร์ฟในประเทศไทย จึงได้รับชื่อไทยว่า “ผักโขมอบชีส” แทนที่จะเป็น “ผักปวยเล้งอบชีส” ซึ่งฟังชื่อดูเป็นชื่ออาหารฟิวชันของจีนกับฝรั่งคนไทยส่วนใหญ่จึงยิ่งเข้าใจผิดต่อไปอีกว่า spinach คือผักโขมที่มาของภาพ: falovelykids / pixabay, MSphotos / pixabay และผู้เขียนความเข้าใจผิดนี้ทำให้คนไทยหลายคนเด็ดผักโขม (amaranth) จากสวนหลังบ้าน มาปรุงเป็นผักโขมอบชีส ซึ่งแม้จะรสชาติต่างจาก ผักปวยเล้งอบชีสในภัตตาคาร แต่ก็ถือว่าทดแทนกันได้ ซึ่งความสร้างสรรค์นี้ทำให้ผักโขมที่เป็นวัชพืชในสวนทั่วไป ซึ่งมีทั้ง ผักโขมสวน ผักโขมจีน ผักโขมหนาม มีช่องทางการบริโภคเพิ่มขึ้น จากเดิมที่แค่ลวกจิ้มน้ำพริก ก็กลายร่างเป็นอาหารฝรั่งอย่างผักโขมอบชีส (Baked Amaranth with Cheese) ได้ด้วยเรื่องที่ 4 คนทั่วไปเข้าใจว่า ผักปวยเล้ง มีกำเนิดจากประเทศจีน แต่แท้จริงแล้ว ผักปวยเล้งมีกำเนิดจากเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) เรียกชื่อว่า “อิ๊สปะนาค” ซึ่งเมื่อราว 1,400 ปีที่แล้ว กษัตริย์แห่งเนปาล ได้นำผักที่เรียกในภาษาเนปาลีและฮินดีว่า “पालक (ปาลัก)” ชนิดนี้ไปถวายถังไท่จงฮ่องเต้ แห่งประเทศจีน ชาวจีนจึงเรียกชื่อผักนี้ว่า 菠薐菜 ปอเหลิงช่าย ในภาษาจีนกลาง หรือเรียกย่อๆว่า 菠菜 ปอช่าย และในเวลาต่อมา เมื่อคนไทยรับผักชนิดนี้มาบริโภค ก็เรียกชื่อว่า ผักปวยเล้ง ตามสำเนียงแต้จิ๋วว่า “ปอเลงฉ่าย”อีกทางหนึ่ง เมื่อราว 1,000 ปีที่แล้ว ผักปวยเล้งได้ถูกเผยแพร่โดยแขกมัวร์ (ชาวมุสลิม) ไปยังประเทศสเปน มีชื่อเรียกในภาษาสเปนว่า espinacas (เอสปินาคาส) และกลายเป็นภาษาอังกฤษว่า spinach (สปินิช) เมื่อเผยแพร่ไปสู่เกาะอังกฤษที่มาของภาพ: ผู้เขียนจึงสรุปได้ว่า “ปวยเล้ง” กับ “spinach” มีรากศัพท์เดียวกัน และเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันหนึ่งของการเดินทางข้ามทวีปในอดีตกาลแม้ว่า ผักโขม (amaranth) กับผักปวยเล้ง (spinach) จะเป็นผักคนละชนิด คนละสกุลกัน แต่ก็อยู่ในวงศ์เดียวกันและให้คุณค่าทางโภชนาการเหมือนๆ กัน คือมี เหล็ก, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, วิตามิน A, วิตามิน C ฯลฯ และก็มีคำเตือนในการบริโภคเหมือนกันคือ ผักทั้งสองนี้ "มีปริมาณออกซาเลต (oxalate) สูง " ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคนิ่วในไต เนื่องจาก ออกซาเลตที่มีมากเกินในร่างกายจะทำปฏิกิริยากับแคลเซียม ทำให้ตกตะกอนเป็นแคลเซียมออกซาเลต ที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของนิ่วในไตดังนั้น ก่อนจะบริโภคผักโขมหรือผักปวยเล้ง จึงควรนำผักไปลวกหรือต้ม เพื่อให้ออกซาเลตส่วนหนึ่งถูกละลายออกไป และเทน้ำต้มผักนั้นทิ้งไป ก็จะบริโภคผักสองชนิดนี้ได้ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่มีร่างกายปกติ ไม่มีปัญหาเรื่องนิ่วในไต สามารถบริโภคผักโขมหรือผักปวยเล้งได้ตามปกติ เพื่อให้ร่างกายได้รับเกลือแร่ วิตามิน และเส้นใยอาหาร โดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่อง ออกซาเลต เนื่องจาก ออกซาเลตเป็นสารที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้ และขับออกได้ทั้งทางปัสสาวะและอุจจาระแม้ผักโขมและผักปวยเล้งจะถูกเข้าใจผิดหลายๆเรื่อง แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความสร้างสรรค์ เป็นผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยมีศัตรูพืช ไม่ต้องใส่ปุ๋ย ไม่ต้องพ่นยา จึงเหมาะกับการปลูกแบบอินทรีย์อีกด้วยที่มาของภาพปก: ผู้เขียนเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !