เรื่องราวในบทความนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทยมากที่สุดและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนระดับรากหญ้าจนถึงขั้นรวยล้นฟ้า ยาจกจนถึงมหาเศรษฐี ก็เกิดขึ้นได้นั้นคือเรื่อง " การกู้ยืมเงินกัน " ในการกู้ยืมเงินกันนั้น ซึ่งตามกฎหมายของประเทศไทยได้ใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับใช้ซึ่งใน มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า " การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ " อธิบายเอาแบบเข้าใจง่าย ๆ คือถ้ากู้ยืมเงินกันเกิน 2,000 บาทขึ้นไป ถ้าผู้ให้กู้จะไปฟ้องร้องให้ศาลเพื่อให้ศาลพิพากษาให้ผู้กู้ใช้เงินคืนผู้ให้กู้นั้น กฎหมายบังคับเลยนะครับว่า " ถ้าไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ " กล่าวคือ ต้องมีสัญญากู้เงิน ที่ทำเป็นหนังสือและสัญญากู้ยืมที่เป็นหนังสือนั้นต้องมีลายมือชื่อ "ผู้กู้ " ลงไว้ในช่องผู้กู้ จึงจะสามารถฟ้องร้องต่อศาล แล้วให้ศาลพิพากษาบังคับให้ผู้กู้ชำระหนี้ได้ กลับกัน ถ้ากู้ยืมเงินกันไม่เกิน 2,000 บาทหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นก็ไม่ต้องใช้ สามารถฟ้องได้เลยครับภาพปกถ่ายโดย Alexander Mils จาก Pexels https://www.pexels.com/th-th/photo/2068975/ภาพถ่ายโดย Pixabay จาก Pexels https://www.pexels.com/th-th/photo/267399/ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาสู่ศาลฎีกา จนศาลฎีกาได้มีคำพิพากษามาแล้ว แล้วถือว่าเป็นบรรทัดฐานในการที่นำไปใช้อ้างอิงได้ถือว่าคดีนี้เหมาะและทันยุคทันสมัยมาก เรื่องก็มีอยู่ว่า นาย A ไปกู้ยืมเงินนาย B ผู้ให้กู้ จำนวน 731,850 บาท มีการทำสัญญากันและส่งมอบเงินกันเรียบร้อย สัญญากู้ยืมบังครับได้ตามกฎหมาย หลังจากนั้นนาย A ก็ไม่ชำระต้นเงินให้แก่นาย B คงชำระดอกเบี้ยเพียงแค่ 4 ครั้ง รวมเป็นเงิน 6,550 บาท ต่อมา นาย B ก็ฟ้องนาย A ต่อศาล ให้ชำระเงินจำนวนดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง นาย B ผู้ให้กู้ ไม่พอใจที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องตน จึงอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ นาย A ชำระเงินคืนแก่ นาย B จำนวน 595,000 บาท และให้นำเงินดอกเบี้ยจำนวน 6,550 บาทหักออกจากยอด 595,000 บาท นาย A ผู้กู้ไม่พอใจที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ตนชำระหนี้คืนนาย B จึงฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไปยังศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาใหม่ ซึ่งหากศาลฎีกาตัดสินผลจะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งนาย A นาย B ผลคือไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องแพ้หรือชนะ และต้องยอมรับในผลอันนั้น เพราะถือว่าศาลฎีกาเป็นศาลลำ ดับสุดท้ายแล้ว ผลในคำพิพากษาของศาลฎีกาย่อมผูกพัน ผูกหมัด ทั้งนาย A และนาย B ซึ่งผลก็ออกมาเป็นว่าศาลฎีกา " พิพากษายกฟ้องโจทก์ " สรุปว่านาย A ไม่ต้องใช้หนี้จำนวน https://www.pexels.com/th-th/photo/4968651/ภาพถ่ายโดย Karolina Grabowska จาก Pexels https://www.pexels.com/th-th/photo/4968651/เหตุที่ศาลฎีกายกฟ้องเพราะเหตุใด เรามาดูในส่วนคำพิพากษาของศาล คือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6757/2560 แบบย่อ ๆ นะครับ การที่โจทก์ส่งข้อความทางเฟสบุ๊คถึงจำเลยมีใจความว่า เงินทั้งหมด 670,000 บาท ไม่ต้องส่งคืน ยกให้หมด ไม่ต้องส่งดอกอะไรมาให้ จะได้ไม่ต้องมีภาระหนี้สินติดตัว การส่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการสนทนาผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงต้องนำ พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 มาตรา 7 ถึง มาตรา 9 มาใช้บังคับด้วย แม้ข้อความนี้จะไม่มีการลงลายมือชื่อโจทก์ก็ตาม แต่การส่งข้อความทางเฟสบุ๊คจะปรากฏชื่อผู้ส่งด้วยและโจทก์ก็ยอมรับว่าได้ส่งข้อความถึงจำเลยจริง ข้อความการสนทนาดังกล่าวจึงรับฟังได้ว่า เป็นการแสดงเจตนาปลดหนี้ให้แก่จำเลยโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. มาตรา 340 แล้ว หนี้ตามสัญญากู้ยืมย่อมระงับ จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง"ซึ่งในคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ จำเลยนำประเด็นเรื่องที่ โจทก์ แสดงเจตนาปลดหนี้ให้จำเลยมาสู้คดี ซึ่งการที่โจทก์สนทนากับจำเลยโดยมีการส่งข้อความผ่านเฟสบุ๊คมีใจความว่า " เงินทั้งหมด 670,000 บาท ไม่ต้องส่งคืน ยกให้หมด ไม่ต้องส่งดอกอะไรมาให้ จะได้ไม่ต้องมีภาระหนี้สินติดตัว " ศาลฎีกาถือว่า การส่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการสนทนาผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ แม้ข้อความนี้จะไม่มีการลงลายมือชื่อโจทก์ก็ตาม แต่การส่งข้อความทางเฟสบุ๊คจะปรากฏชื่อผู้ส่งด้วยและโจทก์ก็ยอมรับว่าได้ส่งข้อความถึงจำเลยจริง ข้อความการสนทนาดังกล่าวจึงรับฟังได้ว่า เป็นการแสดงเจตนาปลดหนี้ให้แก่จำเลยโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. มาตรา 340 แล้ว หนี้ตามสัญญากู้ยืมย่อมระงับ เมื่อหนี้ตามสัญญากู้ยืมระงับ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องที่สำคัญนะครับ ตัวโจทก์ก็ยอมรับว่าได้ส่งข้อความถึงจำเลยจริง ถ้าโจทก์ไม่ยอมรับแล้ว ภาระหนักอยู่ที่จำเลยครับจะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า บุคคลที่ส่งข้อความนี้มาคือโจทก์...เพราะฉะนั้นระวังนะครับเจ้าหนี้ทั้งหลาย...เดียวนี้กฏหมายบ้านเมืองเราทันสมัยมากนะครับhttps://www.pexels.com/th-th/photo/5668473/ภาพถ่ายโดย Sora Shimazaki จาก Pexels เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !