สวัสดีค่ะทุกๆคน เราเชื่อว่าหลายๆคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ประสบกับปัญหาทอนซิลอักเสบทำให้มีผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือมีแพลนจะผ่าตัดทอนซิล วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์จากการผ่าตัดทอนซิลว่าคุ้มค่าจริงหรอ หายป่วยถาวรเลยไหมหรือหากผ่าตัดแล้วจะส่งผลกระทบต่อระบบอื่นในร่างกายหรือเปล่า มาเริ่มกันเลยนะคะ ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าช่วงต้นม.ปลายเราเป็นคนที่ป่วยบ่อยมากอาทิตย์ละ 1 ครั้งได้และเราเองก็ไม่ได้สนใจละเลยร่างกายจนเป็นหนักขึ้นทุกครั้งด้วยความที่เราไม่อยากไปหาหมอบางครั้งก็ซื้อยาทานเอง หรือถ้าเป็นหนักก็ค่อยไปหาคุณหมอ พอมาสังเกตตัวเองแบบจริงๆจังๆก็พบว่าทุกครั้งที่ป่วยมักจะมาจากการที่ทอนซิลอักเสบแล้วทำให้มีไข้ มีน้ำมูก ไอ หรืออาการต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการเรียนก็ตกลงจากเดิมเพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่อ่อนล้ากับร่างกาย พอมาช่วงใกล้จบม.ปลายเรานอนโรงพยาบาลบ่อยมาก ให้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรงผ่านเส้นเลือดเพราะทานยาไม่สามารถที่จะยับยั้งเชื้อได้แล้ว (ดื้อยานั้นเอง) อาการเหล่านี้ลากยาวมาจนถึงเราขึ้นมหาลัย คนในครอบครัวเราก็เลยตัดสินใจปรึกษากับคุณหมอว่าอยากผ่าตัดทอนซิลซึ่งคุณหมอเองก็เห็นด้วย เพราะอาการเกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ 5555 พอตัดสินใจได้เราก็นัดวันกับคุณหมอเลยค่ะแต่แอบกังวลเรื่องทานอาหารเพราะคุณหมอ บอกเลยว่าหลังผ่าตัดทานได้แค่อาหารเหลว 2 อาทิตย์ขึ้นไปหรือแล้วแต่ตามอาการและคุณหมอแพลนให้นอนโรงพยาบาลประมาณ 3 วัน สำหรับวันแรกเราก็เข้าไปนอนเพื่อเตรียมตัวเข้ารับผ่าตัดโดยงดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืน ตอนเช้าก็มีพยาบาลมาเข็นเราไปที่ห้องผ่าตัด เราทั้งตื่นเต้นแล้วก็กลัวยิ่งเห็นไฟห้องผ่าตัดแล้วยิ่งกังวลแต่คุณหมอกับพี่ๆพยาบาลก็คอยให้กำลังใจเราว่าไม่ต้องกลัวนะเขาอยู่ด้วยตลอดเวลา เราใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ3ชั่วโมงค่ะ ความรู้สึกแรกที่ตื่นมาคือเจ็บค่อนข้างมากน้ำตานี้ไหลอย่างแรกเลยแต่พอได้มอร์ฟีนไป ฟินเลยค่ะความปวดนี้หายไปเลย ถ้าหลังผ่าตัดใหม่ๆ ตอนนอนน้ำลายจะไหลเยอะมากเป็นเรื่องปกตินะคะ รอสัก 1 อาทิตย์ก็จะค่อยๆดีขึ้นค่ะวันแรกเรานี้ ไหลเลอะเสื้อจนต้องเปลี่ยนใหม่ ส่วนอาหารมื้อแรกหลังผ่าตัดของเราก็เป็นนมกับน้ำเก๊กฮวยเย็นส่วนมื้อที่สองเป็นฟักทองบดกับน้ำเขียวเย็น สลับกันไปเรื่อยๆค่ะ ในระหว่างวันถ้าหิวก็สามารถทานไอศครีมได้เรื่อยๆค่ะ ถ้าทานอาหารเย็นๆยิ่งดีค่ะ แต่ต้องไม่มีกากใยใดๆทั้งสิ้นนะคะช็อคโกแลตชิพก็ไม่ได้เพราะเศษช็อคโกแลตอาจไปขูดแผลได้ค่ะ ส่วนวันที่สองและวันที่สามอาการเราก็ดีขึ้นตามลำดับค่ะใช้มอร์ฟีนน้อยลง พูดได้มากขึ้นอาจจะมีไข้ขึ้นบ้างคุณหมอก็สั่งจ่ายยาพาราแบบน้ำมาให้ทานค่ะ แต่เรื่องที่ค่อนข้างลำบากนอกจากการทานอาหารก็จะเป็นการระคายคอค่ะเพราะถ้าหากเราไอจะทำให้แผลอักเสบหรือฉีกได้เพราะฉะนั้นต้องพยายามกลั้นไอนะคะและห้ามกระแอมเสมหะหรือเลือดออกมาเด็ดขาด หลังจากออกจากโรงพยาบาลเราก็ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิมเพราะว่าแผลยังไม่ปิดดีค่ะพยายามรักษาตัวเองสุดๆ ต้องเลือกทานอาหารเหลวเนื้อเนียนอย่างเดียว ตัวอย่างอาหารที่สามารถทานได้ หลังผ่านไป2อาทิตย์ก็ไปตรวจกับคุณหมออีกรอบค่ะแผลโดยรวมดีขึ้นมากแต่ก็ยังคงต้องทานอาหารเหลวไปเพราะถ้าหากเราทานอาหารที่เนื้อไม่เนียนเข้าไป (โจ๊กก็ไม่ได้นะคะ) อาจทำให้เศษอาหารไปขูดกับแผลเราหรืออาจจะตกอยู่ในร่องแผลทำให้เกิดการอักเสบหรือแผลฉีกได้ค่ะ สรุปเราอดทนทานอาหารเนื้อเนียนไป 1 เดือนเต็มๆ แต่น้ำหนักก็ไม่ได้ลดมากนะคะเพราะเราทานพวกน้ำหวาน ไอศกรีมทุกวันแต่หากใครที่เป็นเบาหวานต้องระมัดระวังควรปรึกษาอาหารที่ทานได้กับคุณหมอเพิ่มเติมนะคะ จากวันที่ผ่าจนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลา 4 เดือนกว่าๆเราเป็นไข้หวัดแค่ 1 ครั้งค่ะ หากใครคิดว่าถ้าผ่าทอนซิลแล้วจะไม่เป็นไข้หวัด 100% ไม่ใช่นะคะ เพราะไข้หวัดนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียทั่วไปแต่การผ่าทอนซิลออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้สะสมเชื้อโรคหรือเป็นหนองที่ร้ายแรง ส่วนผลข้างเคียงมีอย่างเดียวค่ะคือไอแบบแห้งๆพอปรึกษาคุณหมอก็ให้ยาพ่นจมูกกับยาแก้ไอทานทุกคืนก่อนนอน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ ซึ่งโดยรวมแล้วการที่เราตัดสินใจผ่าทอนซิลออกถือเป็นเรื่องที่คุ้มค่าและเห็นผลชัดเจนมากค่ะ* เจ็บแต่ทนได้เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าเดิม* ปล.ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ราคาประมาณ 20,000-30,000 (เราจำไม่ค่อยได้แห่ะๆ) สุดท้ายนี้เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับหลายๆคนที่กำลังตัดสินใจหรือหาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดทอนซิล ถ้าหากมีความผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ