"เช้าแล้วยังอยู่บนที่นอน เงียบๆ คนเดียวและไม่อยากตื่นขึ้นพบใคร" เพลงท่อนนี้ของพี่บอยพีชเมคเกอร์ จะก้องขึ้นมาในหัวทุกครั้งหลังจากลืมตาตื่นจากการหลับไหลในเช้าวันเสาร์ วันที่เป็นวันหยุดวันแรกของสัปดาห์ โดยที่ก่อนหน้านี้ได้เผชิญกับมรสุมต่างๆ มากมายมาตลอดทั้งสัปดาห์ มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ในหนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน หมดไปกับการทำงานห้าวัน มีวันหยุดพักผ่อนแค่สองวัน บางบริษัทหยุดแค่วันอาทิตย์เพียงวันเดียว จะเห็นได้ว่าการดำรงชีวิตของมนุษย์เงินเดือนต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงานมากกว่าบ้านของตนเอง และมีกิจกรรมในแต่ละวันซ้ำๆเดิมๆ คือ ตื่นนอน กินข้าว ทำงาน กลับบ้าน นอน ยิ่งอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพมหานครด้วยแล้ว นอกจากจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในที่ทำงานไปเกือบทั้งวันยังต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนท้องถนนอีกวันละหลายชั่วโมงด้วย ท่ามกลางฝุ่นควันมลพิษและการกระทำผิดกฎหมายมากมายที่นับวันจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การใช้ชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยไปวันๆนั้น เป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเหลือเกิน สำหรับที่ทำงานซึ่งเป็นสถานที่ที่เราต้องดำรงชีวิตอยู่่มากกว่าที่บ้านของเรานั้น ยังต้องพบเจอกับเพื่อนร่วมงานบางจำพวกที่มีทั้งเสือสิงห์กระทิงแรด ที่พร้อมจะขย้ำเราในทุกขณะ ประกอบกับภาระงานที่หนักอึ้งที่เราได้รับมอบหมายนั้น มันแสนจะหนักหนาสาหัสแทบจะไม่คุ้มกับเงินเดือนอันน้อยนิดที่ได้รับเสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมเรายังต้องทนทำงานในสภาพการณ์แบบนี้ด้วยล่ะ ก็เพราะภาระหนี้สินค่าใช้จ่ายต่างๆ นั่นเอง ค่าที่พักอาศัย ค่าน้ำมัน ค่ายานพาหนะ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารการกิน และค่าอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะ ทำให้เงินเดือนแต่ละเดือน เหมือนเงินทอนที่เหลือจากการชำระค่าต่างๆ เหลือติดบัญชีไว้น้อยนิดให้ประทังชีวิตพ้นไปเป็นเดือนๆ ครั้นจะลาออกไปทำอย่างอื่น ก็ใช่ว่าจะหางานได้ง่่ายๆ ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นทุกวันนี้ การหางานนั้นยากยิ่งกว่าหาเข็มในมหาสมุทร เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องยึดฐานที่มั่นการทำงานไว้ให้แน่นเหนี่ยวและทนก้มหน้าทำงานเพื่อรับเงินทอนเป็นเดือนต่อไป มนุษย์เงินเดือนอย่างเราไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์ เราทำงานเพื่อแลกเงินเดือน สัตว์ในสวนสัตว์โชว์ตัวเพื่อแลกอาหาร และเราต่างก็ถูกกักขังเหมือนกัน มนุษย์เงินเดือนถูกกักขังด้วยกรงกรรมให้ต้องทนทำงานแลกเงินจะหนีไปไหนก็ไม่ได้ เพราะปัจจัยที่สามารถทำให้เราดำรงชีพได้คือเงิน ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรง อยู่ไปวันๆเพื่อแลกกับอาหาร เพราะปัจจัยการดำรงชีพของสัตว์คืออาหารนั่นเอง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เรายังถือว่าโชคดีกว่าสัตว์อยู่บ้าง นั่นก็คือ กรงที่ขังเรามิใช่กรงเหล็กหรือปูนที่ปิดทุกด้าน หากแต่เป็นกรงเทียมที่สร้างขึ้นขังตัวเองให้ผูกติดกับการทำงาน แต่ก็ยังสามารถที่จะออกจากกรงไปได้เป็นครั้งคราว การออกจากกรงของมนุษย์เงินเดือนนั่นก็คือการลาพักร้อนนั่นเอง ในขณะที่สัตว์ในสวนสัตว์ไม่สามารถกระทำอย่างเราได้ โดยสิ่งที่มันจะทำได้ก็เพียงแค่ "ฝันกลางวัน" ฝันว่าได้ออกไปโลดแล่นอยู่ภายนอกกรง ซึ่งตรงนี้นี่เองที่ทำให้เราดูจะโชคดีกว่าสัคว์ในส่วนสัตว์อยู่บ้าง ในฐานะที่เราเป็น "มนุษย์" ที่มาของภาพ : https://www.pexels.com เมื่อเราเป็นมนุษย์เงินเดือนที่สิทธิลาพักร้อน และเกิดภาวะเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ถ้าเปรียบเป็นโทรศัพท์ก็คงจะเป็นโทรศัพท์ซัมซุงสเปคต่ำที่เหลือแบตแค่ 1% เพราะถูกใช้งานมาอย่างบ้าคลั่งจนเครื่องร้อนแทบไหม้มาตลอดทั้งวัน เมื่อเรารู้ตัวว่าเหนื่อยล้า และเรามีสิทธิลาพักผ่อน เราควรทำอะไรดีที่จะเป็นการเพิ่มพลังบวกหรือทำให้แบตเตอรี่ของเรากลับมาเต็มอีกครั้ง "ถ้าเราเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า" เพลงท่อนนี้ของแม็กซ์ เจนมานะ ถือเป็นคำแนะนำที่ดีสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างผม ผมเป็นคนที่ชอบสีเขียว การได้เจออะไรที่เขียวชอุ่ม มันทำให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ ภูเขาต้นไม้และอากาศที่สดชื่่นเป็นสิ่งที่เติมเต็มพลังงานและชาร์จแบตให้มนุษย์เงินเดือนอย่างผมได้เป็นอย่างดี การที่เราจะหนีจากสิ่งที่ทำให้เหนื่อยล้า สถานที่ที่เราจะหนีไปนั้นจะต้องปราศจากสิ่งที่ทำให้เกิดความเหนื่อยล้า นั่นก็คือ ต้องเป็นที่ที่อากาศดี รถไม่ติด ไม่มีเรื่องงานหรือเพื่อนร่วมงานมาให้ปวดหัว เหมือนประหนึ่งว่าเราได้หลับฝันกลางวันแล้วปลดเปลื้องทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในหัวรวมถึงมลภาวะรอบกาย แล้วออกไปสู่สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งปลอดจากมลภาวะที่ทำให้เหนื่อยล้าทุกอย่าง และสถานที่ที่ผมเลือกที่จะไปฝันกลางวันก็คือ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเช็คระยะทางจากกรุงเทพฯถึงอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่แล้ว ห่างกันประมาณเกือบแปดร้อยกิโลเมตร และเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การไปฝันกลางวันที่นั่นเป็นอย่างมาก เนื่่องจากปราศจากมลภาวะต่างๆ และอากาศดีมากๆ เพราะเป็นช่วงหน้าหนาว การวางแผนการเที่ยวของผมไม่มีอะไรเลย เพราะวัตถุประสงค์ของการไปคือ การไปพักผ่อนชาร์จพลัง ไม่ต้องการไปเที่ยวให้เหนื่อย เพราะกลับมาก็ต้องเจอกับงานที่เหนื่อยพออยู่แล้ว ประกอบกับผมเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด แต่ต้องพลัดพรากบ้านเกิดมาทำงานในกรุง ฉะนั้นผมก็จะมีบ้านที่เชียงใหม่ไว้ให้กลับไปซบไออุ่นอยู่เสมอยามเหนื่อยล้า การเดินทางของผมได้เริ่มขึ้น หลังจากยื่นลาพักผ่อนไปแล้ว โดยยื่นลาเพียงสองวัน รวมเสาร์อาทิตย์ก็จะได้วันหยุดรวม 4 วัน ผมเลือกเดินทางโดยเครื่องบินไปยังสนามบินเชียงใหม่ จากนั้นไปพักที่บ้านพ่อ 1 คืน และยืมรถพ่อขับไปยังอำเภอเชียงดาวในวันรุ่งขึ้น ซึ่งระยะทางประมาณเกือบร้อยกิโลเมตร เป้าหมายคือรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่จองไว้ในอินเตอร์เน็ต เมื่อขับไปถึงที่หมายก็เป็นเวลาสายๆ ประมาณสิบโมง อากาศที่นั่นเย็นสบาย ค่อนข้างหนาว แต่ก็ยังมีแดดรำไรให้พออุุ่นๆผิวหนังบ้าง เมื่อถึงที่พักเช็คอินเสร็จเดินเข้าไปด้านในที่พัก ผมชัทดาวน์ระบบสมองและระบบความคิดให้เป็นศูนย์ ไม่คิดเรื่องงาน ไม่คิดเรื่องอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ซื้อเครื่องดื่ม น้ำแข็ง และอาหารเล็กน้อย เพื่อเตรียมดื่มด่ำบรรยากาศ นั่งโง่ๆอยู่หน้าบ้านพัก พักสมองพักกายพักใจ รับไอเย็นๆที่มาปะทะร่างกาย และสูดอากาศที่บริสุทธิ์ให้เต็มปอด ผมอดไม่ได้ที่จะเดินสำรวจรอบๆบ้านพัก บ้านที่ผมพักนี้ มีลักษณะเป็นกระท่อมเล็กๆ ที่ทำจากไม้เกือบทั้งหลัง มีบานหน้าต่างเป็นกระจก และมีระเบียงไว้ให้นั่งเล่นหน้าบ้าน ผมแอบคิดเล่นๆว่าอยากยกบ้านหลังน้อยนี้กลับกรุงเทพฯไปด้วย แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว หากบ้านหลังนี้ไปอยู่ในกรุงเทพฯ ที่มีแต่มลพิษและอากาศไม่ได้บริสุทธิ์เช่นนี้ แถมยังร้อนตับแตก การอยู่กระท่อมแบบนี้ในกรุงเทพอาจจะไม่สู้ดีนัก เพราะหากจะอยู่แบบสบายๆ ในกรุงเทพฯ ต้องอยู่บ้านปูนในห้องแอร์เย็นฉ่ำเท่านั้น หากอยู่ในกระท่อมไม้กลางแดดจ้าและมลพิษ คงไม่ต่างอะไรกับการอยู่ในตู้อบความร้อนและคงร้อนอบอ้าวเหงื่อไหลไคลย้อย ความคิดของผมที่จะนำบ้านน้อยมาไว้ในเมืองใหญ่จึงดับวูบไป และคิดว่าบางสิ่งบางอย่่าง มันก็เหมาะที่จะอยู่เฉพาะที่เฉพาะทางของมัน ฝันกลางวันของผมวันแรกหมดไปกับการเดินสำรวจที่พัก และการนั่งโง่ๆหน้าระเบียงบ้านพัก หลับไหลไปท่ามกลางอากาศที่เย็นฉ่ำโดยที่ไม่ต้องเปิดแอร์ให้โลกร้อน การไม่ได้คิดเรื่องงาน และเรื่องอื่นใดให้ปวดหัวถือเป็นการพักผ่อนสมองและชาร์จพลังงานให้หายจากความเหนื่อยล้าได้มากเลยทีเดียว ฝันกลางวัน วันที่สอง หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่หาได้จากร้านค้าบริเวณใกล้เคียงกับที่พักแล้ว ผมยังพบว่ามีบ่อน้ำพุร้อนอยู่บริเวรใกล้ๆแถวนี้ด้วย ชื่อ บ่อน้ำร้อนบ้านยางปู่โต๊ะ จึงคิดว่าหากได้ไปแช่น้ำร้อนนอนโง่ๆอยู่ในบ่อ คงเป็นการชาร์จพลังและล้างสมองให้ปลอดโปร่งโล่งสบายได้อย่างดีแน่นอน ผมจึงไม่รอช้ามุ่งหน้าสู่น้ำพุร้อนไปนอนแช่น้ำโดยพลัน เมื่อไปถึงบ่อน้ำร้อนดังกล่าว พบว่ามีการให้บริการสองส่วน ส่วนแรกเป็นบ่อที่แช่ฟรี แบบโล่งแจ้งมาก แช่ในท่อปูนซีเมนต์แบบสาธารณะ มีคนแช่อยู่เกือบทุกบ่อ ซึ่งผมมองแล้วว่ามันไม่ค่อยจะส่วนตัวซักเท่าไหร่ จึงมายังส่วนที่เป็น บ่อส่วนตัว ที่ต้องเสียเงินค่าบริการ ชั่วโมงละ 50 บาท เมื่่่อเดินเข้าไปจะพบว่ามีบ่ออยู่สองบ่อ ตอนที่ผมเข้าไปบ่อยังว่างอีกหนึ่งบ่่อ ผมจึงตกลงราคาเช่ากางเกงสำหรับลงบ่อแล้วถอดผ้าลงแช่ในบ่ออย่างสบายใจ น้ำในบ่อตอนลงแช่ใหม่ๆ จะรู้สึกร้อนแต่พอแช่ไปซักพัก ร่างกายจะค่อยๆปรับสภาพได้ จึงทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด มันจะรู้สึกตัวลอยๆเบาๆ ประกอบกับสมองเราที่ปล่อยว่าง แช่ไปพลางมองไปรอบๆ ด้านหลังจะเป็นลำธารไหลเอื่อยๆ มีควายนอนแช่น้ำอยู่ ซึ่งควายมันก็คงจะแช่น้ำแบบปล่อยสมองโล่งๆไม่คิดอะไรเหมือนกันผมนั่นแหละ คือตอนนี้มโนว่าตัวเองเป็นควายตัวหนึ่งที่นอนแช่น้ำร้อนอยู่แบบโง่ๆ ประมาณว่ากำลังชาร์จพลังจากไออุ่นของน้ำร้อน ซึ่งค่อยๆถ่ายพลังงานสู่ร่างกาย การเที่ยวพักผ่อนแบบผม บางคนอ่านแล้วอาจจะคิดว่า นี่เรียกว่าเที่ยวแล้วเหรอ แต่ผมมองว่าการเที่ยวของคนเรามีวัตถุประสงค์ต่างกัน บางคนต้องการเที่ยวจริงๆจังๆ บางคนแค่ต้องการพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งการเที่ยวแบบของผมน่าจะเป็นการเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ เป็นการเที่ยวแบบทำยังไงก็ได้ให้ไปเที่ยวแล้วไม่เหนื่อย เหมือนเป็นการไปชาร์จแบตให้กับชีวิต พักผ่อนหย่อนใจ มันจะต่่างกับการเที่ยวแบบชิมช็อปใช้ ที่ต้องเร่งทำเวลาไปเที่ยวนั่นนู่นนี่ ถ่ายรูป ซื้อของ พยายามเที่ยวให้ได้มากที่สุดในหนึ่งวัน พอกลับมาถึงที่พักก็สลบเหมือด เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเที่ยว ซึ่งหากผมเที่ยวแบบนั้น มันจะยิ่งเพิ่มความเหนื่อยล้ามากไปอีก เพราะหลังจากเที่ยวเสร็จต้องกลับไปเจอกับความเหนื่อยล้าที่รออยู่อีกมากมาย ดังนั้น การมาเที่ยวของผมในครั้งนี้ จึงเหมือนเป็นการหลบมาพักผ่อนชาร์จพลัง และไม่ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานในการไปเที่ยว อารมณ์ประมาณว่าผมกำลังนั่่งพักงีบหลับในที่ทำงาน แล้วฝันกลางวันว่าได้มาพักผ่อนหย่อนใจปล่อยสมองให้โล่งไม่คิดเรื่องงานไม่คิดเรื่องใดๆ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็เป็นช่วงหนึ่งที่รู้สึกสบายใจ และไม่่มีความทุกข์ใดๆ ซึ่งเมื่อผมตื่นจากการฝันกลางวันแล้ว หรือกลับไปกรุงเทพฯแล้ว สิ่งที่ผมต้องพบเจอก็คือชีวิตจริงที่อยู่ในโลกแห่งความจริง ที่ไม่ใช่่การฝันกลางวันอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังมีสิทธิที่จะฝันกลางวันอีกได้เสมอ เมื่อผมรู้สึกว่าร่างกายผมเหนื่อยล้าและแบตใกล้จะหมด นั่นเพราะผมเป็นมนุษย์เงินเดือนที่สิทธิลาพักผ่อนนั่นเอง ลืมตาตื่นจากฝันวันพักผ่อน หลังจากนอนงีบไปในความฝัน ตื่นมาพบความจริงสิ่งนิรันตร์ สิ่งๆนั้นนั่นคืองานการที่ทำ หากเหนื่อยล้าเมื่อไหร่ให้งีบต่อ จงอย่าท้อทนต่อไปเดี๋ยวก็่ค่ำ ทำงานเหนื่อยดีกว่าไร้งานทำ จงจดจำทำต่อไปต้องใช้เงิน เมื่อหลุดพ้นไปไหนก็ไม่ได้ ก็พากายพาใจให้ห่างเหิน ไปพักผ่อนหย่อนใจไม่เผชิญ หลบเลี่ยงเดินเข้าป่าหาพลัง เมื่อพักแล้วก็พร้อมเริ่มเติมวันใหม่ สู้ต่อไปด้วยแรงไฟใจมุ่งหวัง พอตื่นขึ้นเราจะฟื้นคืนพลัง หลังจากนั่งฝั่นกลางวันอันสุขใจ