จุดเริ่มต้นของการเดินทางไปพม่าครั้งนี้ เราอยากไปเที่ยวต่างประเทศแต่มีเวลาน้อย เพราะว่าช่วงเวลาที่ว่างมีจำกัด ช่วงนั้นไปสัมภาษณ์งานทิ้งไว้และรอเรียกเข้าทำงาน เราจึงตัดสินใจไปประเทศใกล้ๆและไปกับทัวร์ เราหาแพ็คเกจทัวร์ในบริษัทที่น่าเชื่อถือได้ ในเวลาที่เรามี ราคาที่เหมาะสม และด้วยเวลาที่จำกัดเราจึงเลือกแพ็คเกจทัวร์ ย่างกุ้ง - หงสา - พระธาตุอินทร์แขวน แบบไป-กลับ 2วัน อย่าคิดว่าไปเที่ยวทั้งที2วันเองพอหรือ สำหรับเราแค่ได้ไปเที่ยวและเก็บเกี่ยวบรรยากาศก็คุ้มค่าแล้วจ้า และสำหรับคนที่ไปด้วยกับเรานั้น บอกเลยไม่มี ไม่มีใครว่าง ไปหาเพื่อนเอาข้างหน้าแล้วกัน หวังว่าจะไม่เจอทริปที่มีลูกทัวร์ต่างวัยกับเรามากเกินไปจนคุยกันไม่รู้เรื่องก็พอ ก่อนเดินทางเตรียมตัวกันหน่อย ช่วงที่เดินทางแดดแรง เตรียม หมวก ร่ม ครีมกันแดด เสื้อผ้าเตรียมชุดที่สุภาพ เพราะเราไปวัดหลายที่ รองเท้าเตรียมที่ถอดง่าย เพราะที่พม่าต้องถอดรองเท้าเข้าวัดทุกที่และห้ามใส่ถุงเท้าถุงน่องเข้าวัด เอาปลั๊ก 3 ตาไปเผื่อไว้ด้วย ส่วนเรื่องเงินนั้น ถ้าไปกับทัวร์ไกด์จะมีบริการเตรียมให้ บางสถานที่สามารถใช้เงินไทยซื้อสินค้าได้ อย่าลืมsim net สำหรับใช้ที่พม่าด้วย เพราะหลายๆที่ยังไม่มีwifiให้ใช้ค่ะ ไกด์นัดตี5 ที่ดอนเมือง เราให้น้องไปส่งตามเวลาเป๊ะๆ คือ ยังไม่เห็นใครที่จุดนัดพบ ใจแป้วนิดหน่อย คิดในใจ เราก็เลือกบริษัททัวร์ที่รู้จักและเชื่อถือได้นะ หวังว่าคงไม่โดนหลอก รออีกสักครู่ก็มีน้องถือป้ายชูทริปพม่ามายืน ใจชื้นล่ะ เราได้ไปเที่ยวแน่ๆ กว่าเครื่องจะออก ดีเลย์อีกจ้า กว่าจะถึงสนามบินมิงกลาดง กรุงย่างกุ้ง พม่าก็ 9 โมงกว่า ขอบอกก่อนว่าทริปนี้เป็นทริปที่เราสบายที่สุดตั้งแต่เดินทางไปต่างประเทศ มีรสบัสรอรับนั่งสบายๆมีขนมกินตลอดทาง มีไกด์ดูแลทั้งชาวไทยและชาวพม่า ทริปอื่นๆไปกันเองกับน้อง ลากกระเป๋าขึ้นรถไฟฟ้าบ้าง รถเมล์บ้างทดสอบความอึดด้วยการเดินลากกระเป๋าเดินเป็นกิโลตลอด ส่วนเรื่องเงินที่จะใช้ในพม่านั้น ไกด์พม่ารูปหล่อ(เจ้าตัวบอกว่า ผมเป็นไทใหญ่ครับ) ได้เตรียมไว้ให้ลูกทัวร์แลกเพื่อความสะดวกสบายและประหยัดเวลา ชาวคณะทัวร์ทริปนี้ มีตั้งแต่เด็กน้อยถึงรุ่นคุณย่า เรียกว่ามีเกือบทุกวัย ไม่ใช่กรุ้ปผู้สูงวัยล้วนๆ ค่อนข้างโชคดีที่มีเพื่อนวัยเดียวกันหลายคน สถานที่แรกที่เราไปถึง คือ เจดีย์โบตาทาวน์ กว่าจะออกจากสนามบินและเดินทางมาถึงที่นี่ก็เที่ยงพอดี แดดแรงพอประมาณ การเข้าไปในบริเวณวัดในพม่า เราต้องถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่า ก็จะเดินสะดุ้งนิดๆเพราะพื้นร้อน เจดีย์โบตาทาวน์ บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าที่พระสงฆ์อินเดีย 8 รูปได้นำมาเมื่อ 2,000 ปีก่อน ในปี2486 เจดีย์แห่งนี้ถูกระเบิดของฝ่ายพันธมิตรเข้ากลางองค์จึงพบโกศทองคำบรรจุพระเกศาธาตุและพระบรมธาตุอีก 2 องค์ และพบพระพุทธรูปทอง เงิน สำริด 700 องค์ และจารึกภาษาบาลีและตัวหนังสือพราหมณ์อินเดียทางใต้ ภายในเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องสีสันงดงาม และมีมุมสำหรับฝึกสมาธิ หลังจากกราบนมัสการ เจดีย์โบตาทาวน์ บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มาขอพร นัตโบโบยี หรือ พระเทพทันใจ เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของชาวพม่าและชาวไทย พี่ไกด์คนสวยสอนวิธีการสักการะพระเทพทันใจ เพื่อขอสิ่งใดแล้วสมปรารถนา โดย นำดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย จากนั้นนำเงิน เอาไปใส่มือของพระเทพทันใจ 2 ใบ ไหว้ขอพรและดึงกลับมา 1 ใบ เอามาเก็บรักษาไว้ จากนั้นก็เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ของนัตโบโบยี( พระเทพทันใจ) จากนั้นเราเดินข้ามฝั่งถนนมา สักการะ เทพกระซิบ ซึ่งมีนามว่า “ อะมาดอว์เมี๊ยะ” การขอพรเทพกระซิบต้องเข้าไปกระซิบเบาๆ ห้ามคนอื่นได้ยิน และบูชาด้วย น้ำนม ข้าวตอก ดอกไม้ และผลไม้ วันที่ไปถึงผู้คนค่อนข้างหนาแน่นเลยไม่ได้เข้าไปกระซิบขอพรได้แต่บูชาด้วยดอกไม้และนมโฟรโมสต์รสหวาน ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ แวะทานมื้อกลางวันที่ภัตาคารที่ทางไกด์ได้จัดเตรียมไว้ เมนูที่จัดมาก็คล้ายกับอาหารบ้านเรา ทานกันเสร็จออกเดินทางกันต่อ โดยจุดหมายคือ พระธาตุอินทร์แขวน รัฐมอญ ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ผ่านเมืองหงสาวดี หรือเมืองพะโค(Bago) เมืองหงสาวดี หรือเมืองพะโค(Bago) ในอดีตเป็นเมืองหลวงเก่าแก่อายุมากว่า 400 ปี ระหว่างทางจะข้ามผ่านแม่น้ำสะโตง สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งในอดีตขณะสมเด็จพระนเรศวรกำลังรวบรวมคนไทยกลับอโยธยาได้ถูกทหารพม่าไล่ตามหลังมาซึ่งนำทัพโดยสุรกรรมาเป็นทัพหน้า พระมหาอุปราชาเป็นทัพหลวง สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนต้นคาบชุดยาวเก้าคืบยิงถูกสุรกรรมาแม่ทัพหน้าพม่าเสียชีวิตบนคอช้าง กองทัพพม่าจึงถอยทัพกลับกรุงหงสาวดี ระหว่างเดินทางแวะที่จุดพักรถ เราไปสำรวจว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ขนม ผลไม้ และผลไม้แห้งต่างๆที่ขายคล้ายๆบ้านเรา ที่พิเศษที่นี่ มีชานมร้อนๆขาย อร่อยดีค่ะ เราได้ซาลาเปาติดไม้ติดมือมาด้วย เส้นทางที่ใช้เดินทางนั้นมีบ้านเรือนประปราย ไม้ได้ผ่านเมืองใหญ่ จากจุดพักรถออกเดินทางกันต่อไปที่ คิ้มปูนแคมป์ เมื่อมาถึง คิ้มปูนแคมป์เพื่อเปลี่ยนรถเป็นรถบรรทุหกล้อเล็กซึ่งเป็นรถประจำเส้นทางชนิดเดียวที่เราสามารถขึ้นไปพระธาตุอินทร์แขวนได้ มีกระเช้าให้ขึ้นด้วยแต่ทริปเราเลือกเดินทางโดยรถบรรทุกเล็กเพื่อสะดวกในการขนสัมภาระ ไกด์จะแนะนำให้เราเปลี่ยนเป็นกระเป๋าขนาดเล็กสำหรับพักหนึ่งคืน ถ้าเอากระเป๋าใหญ่ไป อาจต้องจ้างลูกหาบแบกสัมพาระประมาณ 1,000 จ๊าด หรือ 30 บาทไทย เราตัดสินใจทันทีเลยจ้า จ้างลูกหาบ การเดินทางต้องขึ้นรถบรรทุกเล็กขึ้นไปใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงค่ะ การขึ้นรถต้องขึ้นบันไดที่ทางรถจัดเตรียมไว้ลูกทัวร์บางท่านต้องช่วยพยุงกันด้วยความทุลักทุเลนิดหน่อย ทิวทัศน์ระหว่างทางขึ้นเขาถือว่าคุ้มค่ากับการขึ้นมา ให้ลมปะทะหน้า สูดอากาศที่สดชื่นมากๆ เราขึ้นเขามาช่วงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น กว่าจะถึงที่หมายประมาณ 6 โมงเย็น ขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตกพอดีค่ะ จุดจอดรถด้านบนเขา ผู้คนคับคั่งเลยทีเดียว ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งชาวพม่าที่เดินทางมาทำบุญ ทั้งเด็กๆพม่าที่มาเร่ขายของ หลายๆคนพูดไทยได้ ไกด์รูปหล่อของเราจะหาเด็กๆมาช่วยขนสัมภาระ คอยแนะนำ วิ่งซื้อของอำนวยความสะดวก เป็นผู้ช่วยไกด์น้อย เด็กๆพูดไทยเก่งมากเรียนเองครูพักลักจำเอา เราถามว่าได้เรียนหนังสือมั้ย น้องตอบว่าเรียน นั่งรถลงไปเรียนข้างล่าง ภาษาที่ใช้ในการเรียนคือ ภาษาอังกฤษและภาษาพม่า ตอนกลับให้ทิปน้องๆเป็นค่าขนมให้น้องๆได้ดีใจ และมีแรงใจขยันทำงานกันต่อไปค่ะ กลับมาเรื่องทริปของเราค่ะ เมื่อมาถึงที่จุดจอดรถบนเขา เราต้องเดินลงต่อไปยังที่พัก โดยมีลูกหาบขนสัมภาระต่างๆไปที่โรงแรมที่พักให้ เราแวะถ่ายรูประหว่างทางเดินไปยังที่พักได้หลายรูปเลยทีเดียว โรงแรมที่เราพัก คือ KYAIKHTO HOTEL เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว ห้องที่เราพัก อยู่ชั้นล่างสุด ต้องเดินลงไป โรงแรมก่อสร้างเรียบไหล่เขาลงไป มีสัญญาณ WIFI ที่บริเวณล้อบบี้ กว่าจะได้ทานอาหารเย็นก็เกือบทุ่ม หลังจากนั้นไกด์น้อยก็พาไปที่ เจดีย์ไจ้ทีโย หรือ พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ก้อนหินทอง ตลอดทางที่เดินไป มีชาวพม่าจากหลายๆที่เดินทางมาเพื่อนมัสการพระธาตุจำนวนมาก โดยอาศัยนอนที่ลานกลางแจ้งในวัด เราต้องเตรียมถุงสำหรับใส่รองเท้าเพื่อหิ้วไปด้วย ต้องเดินเท้าเปล่าเข้าบริเวณวัด และไม่อยากถอดทิ้งไว้ค่ะ พระธาตุอินทร์แขวน ถือเป็นหนึ่งสิ่งสักการะสูงสุดของชาวพม่า เป็นเจดีย์ขนาดเล็ก ตั้งอยู่บนก้อนศิลาใหญ่ปิดทองที่วางหมิ่นเหม่อยู่บนหน้าผา ชาวพม่ายืนกรานว่าไม่มีทางตกเพราะพระธาตุเกศาศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ภายในองค์พระเจดีย์ ย่อมทำให้หินก้อนนี้ทรงตัวอยู่ได้อย่างสมดุลเรื่อยไป มีความเชื่อว่าถ้าผู้ใดได้มานมัสการพระธาตุอินทร์แขวนครบ 3 ครั้ง ผู้นั้นจะมีแต่ความสุขความเจริญ พร้อมทั้งขอสิ่งใดก็จะได้สมดังปรารถนาทุกประการ บริเวณพระเจดีย์เปิดตลอดคืน แต่ประตูเหล็กที่เปิดสำหรับผู้ชายที่เข้าไปปิดทององค์เจดีย์เปิดถึงเวลา 4ทุ่ม ส่วนผู้หญิงเข้าไปไม่ได้ สามารถอธิษฐานและฝากผู้ชายเข้าไปปิดแทนได้ เราจึงฝากไกด์น้อยเข้าไปปิดทองแทนให้ จากนั้นไกด์น้อยพาชมรอบๆวัด ก็จะมีร้านค้าขายของต่างๆ สินค้า อาหารหน้าตาเหมือนของบ้านเราเลยค่ะ เที่ยวชมรอบบริเวณวัดได้สักพักก็เดินกลับที่พัก เก็บแรงไว้ตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูหมอกและชมวิวในตอนเช้ากันค่ะ เรารีบตื่นตั้งแต่ตี5 เพื่อมาชมวิวตอนเช้า แค่เปิดประตูห้องพักมาก็เจอหมอกแล้ว และแน่นอนไกด์น้อยมารอแต่เช้ามืดจ้า เราเดินไปที่บริเวณวัดและพระธาตุ ผู้คนยังคึกคัก ระหว่างทางมีของขายพวกถั่ว สมุนไพร ผลไม้มากมาย ก่อนหมอกจะจางหายไปต้องรีบเก็บภาพตามจุดต่างๆค่ะ จากนั้นทานอาหารเช้า เตรียมตัวเช็คเอ้าท์และออกเดินทาง เหมือนเดิม เราต้องเดินไปขึ้นรถบรรทุกเล็กเพื่อลงเขา ออกเดินทางเกือบ 8 โมงเช้ายังมีหมอกจางๆให้เราได้เห็นอยู่ค่ะ เมื่อลงมาถึงคิ้มปูนแคมป์ ก็ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปหงสาวดีกันต่ออีกประมาณชั่วโมงครึ่ง จุดหมายแรกสำหรับวันนี้คือ เจดีย์ชเว-มอดอร์ หรือ พระธาตุมุเตา ซึ่งตั้งอยู่ใจลางเมืองหงสาวดี มีอายุกว่า 2,600 ปี ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และเป็น 1ใน 5 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดของชาวพม่า มีจุดอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ตรงบริเวณยอดฉัตรที่ตกลงมาปี2473 แต่กลับยังคงสภาพเดิมไม่แตกกระจายออกไป เป็นที่ร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์โดยแท้ หลังจากนมัสการเสร็จก็เก็บภาพกันตามธรรมเนียม จากนั้นเดินทางมานมัสการ พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเดียว พระพุทธรูปนอนที่มีพุทธลักษณะที่สวยงามในแบบมอญ และเป็นพระนอนที่งดงามที่สุดของพม่า หลังจากกราบนมัสการเสร็จแล้ว ถึงเวลาช้อปปิ้งค่ะ ที่นี่มีตลาดเล็กๆสำหรับขายผ้าทอต่างๆ ไม้แกะสลัก ของที่ระลึก ให้เลือกซื้อเลือกหามากมาย เราได้เสื้อมา 2 ตัวและผ้าทออีก 1 ผืน ราคาผ้าของที่นี่จะราคาถูกกว่าตลาดสก็อตในย่างกุ้ง เกือบๆเที่ยงก็เดินทางไปกินมื้อกลางวัน เมนูอาหารที่ไกด์เลือกไว้ เด็ดมาก ไข่เจียว วันนี้มีกุ้งเผาที่เหมือนกุ้งทอดให้ทานเป็นเมนูพิเศษด้วย หลังจากอิ่มหนำสำราญเดินทางกันต่อไปยังตลาดสก็อตซึ่งอยู่ในย่างกุ้ง เมืองหลวง ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดเก่าแก่ของชาวพม่า สร้างโดยชาวสก็อตในสมัยที่ยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ตลาดจะเป็นลักษณะอาคารติดกันหลายหลัง สินค้าที่ขายจะเป็นพวก อัญมณี หยก เครื่องเงิน งานแกะสลักไม้ ภาพวาด ผ้าทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป แป้งทานาคา ผลิตภัณฑ์จากทานาคา ช้อปปิ้งกันพอประมาณและกระเป๋าเบากันไปพอสังเขปก็ออกเดินทางไปจุดหมายสุดท้ายและเป็นไฮไลท์สำหรับวันนี้ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เจดีย์ทองแห่งเมืองดากองแห่งลุ่มน้ำอิระวดี เจดีย์คู่บ้านคู่เมืองประเทศพม่า อายุกว่า 2,500 ปี มหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศพม่า มีความสูง 326 ฟุต สร้างโดยพระเจ้าโอกะลาปะ มหาเจดีย์มีทองคำโอบหุ้มอยู่มีน้ำหนักถึง1,100 กิโลกรัม ยอดฉัตรประดับด้วยเพชรพลอยอัญมณีล้ำค่ากว่า 5,548 เม็ดรวมถึงทับทิมขนาดเท่าไข่ไก่บนยอด องค์พระมหาเจดีย์มีลานกว้างสำหรับรองรับแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนได้จำนวนมาก บริเวณทางขึ้นทั้งสี่ทิศมีวิหารโถงสร้างด้วยเครื่องไม้หลังคาทรงปราสาทปิดทองล่องชาดประดับระจกทั้งหลัง ภายในประดิษฐานพระประธานสำหรับให้ประชาชนมากราบไหว้บูชา ชาวมอญและชาวพม่าเชื่อว่าการกราบไหว้พระมหาเจดีย์เป็นประจำ จะนำมาซึ่งบุญกุศลอันเป็นหนทางสู่การหลดพ้นทุกข์โศกโรคภัยทั้งมวล เราจะพบเห็นผู้คนมานั่งทำสมาธิเจริญสติภาวนานับลูกประคำ หรือเดินสวดภาวนารอบเจดีย์ เมื่อขึ้นไปกราบไหว้พระเจดีย์ด้วยดอกไม้ธูปเทียน( ที่ไกด์คนสวยคอยตระเตรียมให้) เพื่อขอพรจากองค์เจดีย์ชเวดากอง ที่ลานอธิษฐานเพื่อเสริมสร้างบารมีและสิริมงคล รอบองค์เจดีย์ยังมีพระประจำวันเกิดประดิษฐานทั้งแปดทิศ รวม 8 องค์ ใครเกิดวันไหนก็ไปทรงน้ำพระประจำวันเกิด จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ประมาณ 6 โมงเย็น เราก็ได้เวลาเดินทางไปยังสนามบินเพื่อเตรียมตัวกลับประเทศไทย หามื้อเย็นกันที่สนามบิน แล้วแต่ใครชอบแบบไหนกันเลย เราเอาที่ง่าย KFCเลยจ้ะ ราคา 4,000 จ๊าดกว่าๆ ปิดทริปเที่ยวพม่าใน 2 วัน สำหรับเราแล้ว การเดินทางท่องเที่ยวไม่ว่าไปคนเดียว ไปเป็นกลุ่ม หรือไปกับทัวร์ สิ่งสำคัญที่เราได้ คือ การเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น การได้รู้จักผู้คนที่มากขึ้น ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คน ได้อิ่มเอมกับบรรยากาศ ธรรมชาติ ถือว่าเป็นกำไรของชีวิต อย่ากลัวที่จะออกไปสู่โลกกว้างค่ะ ภาพประกอบโดย ผู้เขียน