ต้นกล้าพริกขี้หนูสวน ถึงจะเป็นต้นจิ๋ว แต่มีความแจ๋วอยู่ในตัว ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับ นายอนันต์นำโชค กัญญาพงษ์ ที่ทำร้านเกษตรอยู่แล้ว ซึ่งความจิ๋วของต้นเมื่อเทียบกับผลกำไรที่ได้รับแล้ว ไม่จิ๋วอย่างที่คิด รายได้ที่ได้มาจากการปลูกต้นกล้า อยู่ที่ประมาณเดือนละ 520,000 บาทต่อเดือน แต่การปลูกต้นกล้าของพริก ไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครหลายคนคิด พริกขี้หนูสวนจิ๋วแต่เเจ๋วนี่แหล่ะ ที่จะทำให้ทุกคนสามารถมีรายได้หลักแสนบาทต่อเดือนได้ไม่ยากจากการทดลองสู่ธุรกิจเลี้ยงครอบครัวการปลูกพริกสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับครอบครัวได้ จุดเริ่มต้นของขายต้นกล้าพริก คือเป็นร้านขายของทางเกษตรอยู่แล้ว จึงสามารถรู้ว่าลูกค้ามีความต้องการอย่างไร จึงผลิตมาเพื่อขายให้กับลูกค้า เพื่อเป็นการทดลองก่อนถึงทำการขยายการค้าขาย ต้นกล้านี้สามารถเสริมให้กับการขายส่งทางการเกษตร ของทางครอบครัวได้ และหากเวลาที่ลูกค้ามาซื้อต้นกล้า ลูกค้าก็จะซื้อยา ซื้อปุ๋ย กลับไปด้วย ทั้งอุปกรณ์ ระบบน้ำซึ่งที่ร้านเกษตรขายส่งของครอบครัว มีทุกอย่างอยู่แล้ว จึงสามารถเป็นธุรกิจเสริมได้เพื่อเสริมธุรกิจหลักนายอนันต์นำโชค ยังกล่าวอีกว่า ที่หันมาสนใจด้านเกษตรขายส่งต้นกล้าของพริก อาชีพนี้ได้กำไรเพราะเราเป็นคนกำหนดราคาเอง เมื่อก่อนทำสินค้าเกษตร ก็ต้องให้พ่อค้าเป็นคนกำหนดราคา (พ่อค้าคนกลาง) แต่การปลูกต้นกล้าพริก สามารถเป็นคนกำหนดราคาเองได้ สามารถกำหนดต้นทุนได้เลยว่าเท่าไร และสามารถกำหนดต้นทุนจะขายแผงละเท่าไร มีลักษณะคล้ายเกษตรอุตสาหกรรม เลยคิดว่าธุรกิจนี้ดีและเติบโตเร็วปลูกพริก ผลผลิต รายได้ดีพื้นฐานของการปลูกต้นกล้าหยอดเมล็ดเวลาโต จะทำการย้ายลงในกระถาง เพื่อบำรุงรักษาดูแล ฉีดยาใส่ปุ๋ยก็จะสามารถขายได้ และในระยะเวลาการปลูกต้นกล้า 30 วัน ก็สามารถขายได้ เป็นเวลาที่ต้องขายภายใน 30 วันขายได้เร็วกว่าที่ต้องรอเป็นผล ผลผลิตที่มีระยะเวลาประมาณ 2 เดือนครึ่งถึง 3 เดือนประมาณ 2 เดือนกว่า นอกจากปลูกเป็นต้นกล้าแล้ว และปลูกน้อยส่วนมากเป็นการทดลองมากกว่า เป็นการทดลองพันธุ์ เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกเป็นต้นกล้าที่แข็งแรง และเพื่อดูความผันผวนของสายพันธุ์ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างเช่น พริกเคยเล็กตรงตอนนี้ ตอนนี้ยังคงตรงอยู่ไหม เคยผลผลิตเยอะตอนนี้ ยังมีผลผลิตเยอะอยู่ไหม มีโรคประจำตัว ของสายพันธุ์ไหม และหากมีต้องแก้อย่างไร เมื่อนำสิ่งนี้ไปส่งเสริมการขาย ของร้านขายส่งเกษตรจะสามารถแนะนำลูกค้าได้รายได้จากการขายต้นกล้า 1 เดือน จะขายอยู่ที่ 4 ถึง 5,000 ถาด ราคาต่อถาดจะตกอยู่ที่ถาดละ 130 บาท 1 ถาดจะมีต้นทุนอยู่ที่ 40-50 บาทแล้วแต่สายพันธุ์ของต้นกล้าที่ปลูก ทำไมจะอยู่ประมาณ 2 เท่าของต้นทุน สายพันธุ์แพงสุด ขายราคาเท่ากันหมดทุกสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่ขายดีของต้นกล้าก็จะเป็น “พริกขี้หนูสวน” เน้นเป็นสายพันธุ์ของตัวเองเพื่อลดต้นทุน ต้นกล้าพริกขี้หนูสวน พันธุ์แปลงยาว ต้นโตไว ทนโรคเหี่ยวเขียว แตกแขนงเยอะ เม็ดดก ผลใหญ่ ขั้วไม่เหนียวเก็บง่าย ต้นกล้าถาด 104 ต้น ราคา 130 บาทประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ขยายธุรกิจ ขายทำกำไรได้ดีการประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้การหาต้นกล้ามันมั่นคง จับรายได้และรายจ่ายของครอบครัว จะไม่ได้เน้นการลดต้นทุน แต่จะเพิ่มคุณภาพให้ได้มากที่สุด เพราะยอดขายและกำไรมันสูง จึงต้องทำให้มีคุณภาพที่ดีที่สุด คุณภาพดีสามารถขายได้ในราคาที่แพง และส่วนของต้นทุนนั้นสามารถลดลงเองได้ หากสามารถขยายธุรกิจ ให้เติบโตขึ้นได้อีก และจะมีซัพพลายเออร์เข้ามาเสนอราคากัน ในส่วนของดินเพาะต้นกล้า ถาดเพาะต้นกล้า ซัพพลายเออร์ซึ่งจะให้ในราคาที่ถูก ทำให้ลดต้นทุนได้นายอนันต์นำโชค ยังกล่าวอีกว่า พริกขี้หนูสวนรอบหนึ่ง สามารถขายได้เดือนนึงประมาณ 1,000 ถาด ส่วนมาก จะเป็นทั้งลูกค้าประจำ และลูกค้าขาจรที่ผ่านมา หรือ inbox มาทางเพจของร้าน การปลูกแบบนี้ถ้าจะให้ผลผลิตเยอะ ต้องมีพื้นที่กว้างมันไม่สามารถซ้อนถาดกันได้ ถ้าจะปลูกในคอนโดอยู่ในพื้นที่จำกัด ต้องหาการตลาดที่ดี เพื่อที่จะให้ได้ผลกำไรที่มาก ซึ่งมีลูกค้าอยู่แล้ว สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าเกษตรกรได้ และสินค้าประเภทนี้มันมีอายุจำกัดอยู่ที่ประมาณ 30 วัน ถ้าเกินจากนี้มันจะดูแลยาก แล้วจะทำให้ต้นทุนของธุรกิจเพิ่มขึ้นในด้านของการดูแลรักษาเพื่อที่จะให้ขายออกได้ ซึ่งทางที่ดีเลือกที่จะทิ้งและปลูกใหม่ต้นทุนจะถูกกว่า เพราะระยะเวลาการขายของมันอายุการขายจะอยู่ที่ 30 วัน แต่หากปล่อยไว้จนถึง 40 วัน พริกก็จะเสียหาย จำเป็นที่ต้องทิ้งเหมือนกันวิกฤตที่เผชิญ หากผ่านได้สามารถทำให้ธุรกิจเติบโตวิกฤตของการขายของไม่ออก เช่น ปลูกพันแผงแล้วขายออกไม่ได้เลย มันไม่มีคนซื้อ เหตุผลที่จะแก้วิกฤตนี้เพราะผลิตต่อเนื่องโดยที่ลูกค้าไม่ต้องรอ การผลิตลูกค้าสามารถเข้ามาซื้อและรับสินค้าไปได้เลย และการขายได้หรือไม่ได้นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย เช่น หากฝนตกหนักน้ำท่วม ก็ไม่สามารถลงพืชผลได้ ไม่สามารถปลูกต้นกล้า จะทำให้ต้นกล้าไม่สามารถขายได้ แล้วหากเกินระยะเวลาไปแล้ว 40 วัน จะทำให้ผลผลิตเน่าเสีย จึงจำเป็นต้องทิ้ง แต่จะไม่ปล่อยให้ถึง 40 วัน หากดูแล้วขายไม่ได้ก็จะทิ้ง เพื่อที่จะลดต้นทุนในการดูแลรักษา การใส่ปุ๋ย หลังจากนั้นจะสามารถผลิตใหม่ ในระยะเวลาที่ต้นกล้าสามารถขับใบได้ คือ 30 วัน อาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้ได้ต้นทุนจากการเจอวิกฤตกลับคืนมาในรอบนี้ และต้องคำนวณว่าครั้งนี้ขายดีหรือขายไม่ดี จำเป็นต้องคำนวณในการผลิตให้ใช้ต้นทุนน้อยที่สุดขนาดของถาดเพาะปลูกต้นกล้า ขนาดของถาดเพาะต้นกล้าอยู่ที่ 32 * 55 ใน 1 ถาดนั้นมีหลุมเพาะอยู่ที่ 104 หลุม และในแต่ละถาดเพาะปลูกต้นกล้า จะสามารถขายได้ในราคา 120 ถึง 140 บาท แล้วแต่คุณภาพของต้นกล้าที่ผลิตนายอนันต์นำโชค ยังเผยอีกว่า การขายไม่ออกทำไมถึงไม่ลดราคา ในถาดต้นกล้าที่ขายไม่ได้ เพราะตนคิดว่าต่อให้ลดราคาก็ไม่สามารถขายได้อยู่ดี เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับลูกค้า ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ซึ่งราคาจะอยู่ที่ 120-140 บาท เหมือนเดิม หากขายไม่ได้และเกินวันและเวลาที่กำหนดไว้ จะทิ้ง หากขายได้ลูกค้ามีความต้องการ ที่จะซื้ออยู่แล้ว เพราะว่าลูกค้าพร้อมที่จะปลูกผลผลิตต่อไป แต่หากลูกค้าไม่ต้องการปลูกต่อให้ลดราคาลงไป ก็ไม่มีลูกค้าซื้อ ส่วนช่องทางในการขาย ขายผ่านหน้าร้าน ขายผ่านเอเย่นต์ และขายผ่านแฟนเพจ และสิ่งที่ได้จากการขายต้นกล้า คือ ได้ลูกค้าใหม่เข้าร้าน ลูกค้าได้รู้จักมากขึ้น ได้รู้จักร้านเรามากขึ้น เพราะว่าลูกค้าไปหาซื้อต้นกล้าที่ไหนไม่ได้ก็ต้องมาหาร้าน ซึ่งทางร้านมีการขายของต้นกล้า และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร บำรุงรักษาต้นกล้า ปุ๋ย ระยะเวลาที่ทำแบบนี้มา 7 ปี สามารถเพิ่มรายได้ขึ้นต่อปี ปีละ 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เชื่อว่าเป็นธุรกิจที่โตเร็ว และสามารถเลี้ยงครอบครัวได้จนถึงปัจจุบันนี้ภาพทั้งหมด : โดยผู้เขียน บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ชวนปลูก "ผักสวนครัว" กินเองที่บ้าน ปลอดภัย และอาจสร้างรายได้เสริม เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายบน App TrueID โหลดเลย ฟรี !