พลังการชื่นชมจากรอยยิ้ม (บทความสุขภาพจิต) ครั้งหนึ่งขณะที่ผู้เขียนกำลังขับรถจะเข้าหมู่บ้าน สังเกตเห็นเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณ15ปีแต่งกายค่อนข้างมอมแมม กำลังตัดหญ้าอยู่ที่สนามหญ้าซึ่งอยู่ติดกับถนนทางเข้าออกหมู่บ้าน ด้วยเป็นทางโค้งรถยนต์ทุกคันจะต้องชะลอความเร็วก่อนเลี้ยวเข้าหมู่บ้านทุกครั้ง ผู้เขียนสังเกตเห็นคนขับรถแทบทุกคันหันไปมองเด็กชายในสนามหญ้าและสังเกตเห็นว่า เด็กชายคนดังกล่าวมีอาการเหนียมอายไม่กล้าสบตาใคร แต่ก็เหลือบมองรถยนต์ทุกคันที่ขับชลอ ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะเกิดจากความอายและไร้ความมั่นใจในตนเองและเดาเอาว่าคงจะเป็นเด็กนักเรียนรับจ้างทำงานในช่วงปิดเทอม เขาคงรู้สึกอายและอาจรู้สึกว่างานที่ทำอยู่นั้นต่ำต้อยด้อยค่าจนขาดความมั่นใจในตัวเองนั่นเอง บังเอิญช่วงเวลานั้นผู้เขียนมีเหตุต้องขับรถเข้าออกหมู่บ้านหลายครั้ง และเมื่อขับรถถึงบริเวณสนามหญ้านั้นอีกครั้ง ก็ยังคงมองเห็นเด็กชายคนดังกล่าวตัดหญ้าและทำความสะอาดอยู่เช่นเดิม ผู้เขียนจึงชะลอรถและกดแตรส่งสัญญาณให้เด็กคนนั้น เมื่อเขาหันมามองผู้เขียนจึงยิ้มให้เต็มใบหน้าพร้อมทั้งชูนิ้วหัวแม่มือให้กับเขาเพื่อสื่อสารว่าเขายอดเยี่ยมที่สุดนั่นเอง ตอนแรกเขาทำหน้างงๆ แต่ผู้เขียนก็ยังคงยิ้มพร้อมชูนิ้วหัวแม่มือให้และชี้ไปที่ตัวเขา เพื่อพยายามจะสื่อสารว่าชื่นชมเขา สักครู่หนึ่งเขาจึงยิ้มตอบให้เต็มใบหน้าพร้อมมีแววตาที่เบิกบานและตั้งหน้าตั้งตาตัดหญ้าและทำความสะอาดด้วยความขะมักเขม้นโดยปราศจากความเหนียมอายอีกต่อไป จนกระทั่งผู้เขียนขับรถเข้าหมู่บ้านอีกครั้งก็สังเกตุเห็นเด็กชายคนดังกล่าวกล้าที่จะมองใครๆที่ขับรถผ่านไปมา และเบื่อผู้เขียนกดแตรให้อีกครั้ง ปรากฎว่าเขาลุกขึ้นยืนกวาดหญ้าที่ตัดแล้วด้วยความมั่นใจและส่งยิ้มให้ผู้เขียนเต็มใบหน้าเช่นกัน เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ผู้เขียนมีความปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยให้เด็กคนหนึ่งมีความมั่นใจในตัวเองและมั่นใจในสิ่งที่เขาทำว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีคุณค่า ซึ่งต่างจากตอนแรกที่สังเกตเห็นว่าเขาเหนียมอายและไร้ความมั่นใจในตนเอง อาจด้วยรู้สึกว่างานที่ทำเป็นเรื่องน่าอายและไร้คุณค่านั่นเอง การส่งยิ้มให้จากผู้เขียนในครั้งนั้นมีความหมายมากมายต่อเด็กชายนั่นคือ “ยิ้ม”หมายถึงชื่นชมและยอมรับในสิ่งที่เขาทำว่าเป็นคุณงามความดี “ยิ้ม”หมายถึงรางวัลซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ส่งผลให้ในการทำงานของเขา “ยิ้ม”หมายถึงมิตรภาพจากผู้คนที่ไม่รู้จักกันและไม่มีส่วนได้เสียใดใดต่อเขา “ยิ้ม”หมายถึงส่งกำลังใจให้เขา “ยิ้ม”หมายถึงความภาคภูมิใจในตัวเขา การยิ้มครั้งนั้นส่งผลต่อเด็กชายคนดังกล่าวให้มีพลังใจและเชื่อมั่นในตนเองจนก้าวข้ามความเหนียมอายไปได้ เพราะเขารู้สึกดีจากรอยยิ้มที่ชื่นชมเขานั่นเอง แต่สาธารณะชนส่วนใหญ่มักมิได้ร่วมกันส่งยิ้มเพื่อชื่นชมซึ่งกันและกัน ยิ่งเป็นคนที่ไม่รู้จักกันแล้วยิ่งไม่ใส่ใจกันเลย เหตุการณ์ดังกล่าวผู้เขียนยืนยันได้ว่ารอยยิ้มและการยกนิ้วให้ ให้ความหมายด้านดีมากมายที่สามารถหยิบยื่นให้แก่กันและกันได้โดยไม่ต้องซื้อหาด้วยราคาแพง แต่เป็นน้ำใจที่พึงมีต่อกันซึ่งเกิดจากการสำนึกรู้คุณค่าของกันและกัน ดังเช่นที่ผู้เขียนรู้สึกถึงคุณค่าของเด็กคนดังกล่าวแล้วส่งยิ้มให้เพื่อชื่นชมเขานั่นเอง การจะแสดงความชื่นชมด้วยรอยยิ้มนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือเหตุของการยิ้มต้องมาจากใจที่สำนึกรู้คุณ ส่วนการยิ้มเป็นผล เพราะการสำนึกจนประจักษ์ในคุณค่าแล้วจะส่งผลให้ใจรู้สึกชื่นชมยินดี จนส่งผลให้เกิดความปลาบปลื้มปีติยินดีในใจจนส่งผลให้สีหน้าแววตายิ้มแย้มแจ่มใสออกมานั่นเอง การยิ้มในใจหรือยิ้มจากใจดังกล่าวในพระพุทธศาสนาเรียกว่ายิ้มแบบ”หสิตะ”แปลว่าผู้มีรอยยิ้มจากใจหรือรอยยิ้มของพระอรหันต์ เป็นลักษณะการยิ้มที่เกิดจากความชื่นชมยินดีภายในใจแล้วจึงส่งผลให้สีหน้าแววตาและริมฝีปากยิ้มออกมาโดยเห็นไรฟันเล็กน้อยในที่สุด นอกจากนั้นการยิ้มยังมีผลดีอีกมาก ผู้เขียนได้สรุปจากการวิจัยหลายฉบับพบว่าขณะที่ยิ้มนั้นสารเคมีในสมองที่ให้ความสุขคือสารเอนดอร์ฟิน(Endorphin )จะหลั่งออกมา ช่วยให้เรารู้สึกเป็นสุข แม้ขณะที่ทุกข์ใจอยู่ก็ตามเมื่อฝืนยิ้มออกมาสารเอนดอร์ฟินก็หลังออกมาอยู่ดี และแม้แต่คนไข้ที่กำลังเจ็บป่วยอยู่หากได้รับการกระตุ้นให้ยิ้มก็จะส่งผลให้หายจากการเจ็บป่วยได้รวดเร็วกว่าคนไข้ที่ไร้รอยยิ้มอีกด้วย เมื่อเรายิ้มจะส่งผลให้โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิต่ำลงทำให้รู้สึกสบายและผ่อนคลาย หัวใจจะเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง ต่อมหมวกไตทำงานน้อยลง สารอดรีนาลีน( Adrenaline )ซึ่งเป็นสารแห่งความเครียดหลังออกมาน้อยลง จึงลดความเครียดได้ ดังนั้นการยิ้มจึงเป็นการสื่อสารถึงความสุขกายสุขใจที่เป็นภาษาสากล ทั้งยังส่งผลให้ลดความเครียดได้อีกด้วย และสำคัญที่สุดคือการยิ้มเป็นทั้งการชื่นชมตนเองและชื่นชมผู้อื่นที่ทรงพลังอย่างยิ่ง “เมื่อรู้อย่างนี้แล้วมายิ้มให้กันและกันให้สม่ำเสมอเถิดครับ”ภาพหน้าปก: 2023852 /pixabay ภาพที่1จาก : trevoyphotography / pixabay ภาพที่2จาก: 5688709 /pixabay ภาพที่3จาก: 1494202 /pixabay ภาพที่4จาก: ผู้เขียน รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญานักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy ,ไอดีไลน์ac6555 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !