ในช่วงพักเบรกทีมชาติคือ " ความน่าเบื่อ " ที่กลายเป็นฝันร้ายสำหรับแฟนบอลที่ตั้งหน้ารอชมเกมฟุตบอลลีก แต่ไม่ใช่กับเกมทีมชาติเมื่อคืนที่ผ่านมาซึ่งเป็นการเจอกันระหว่างสองยักษ์แห่งยุโรป " เบลเยี่ยม vs ฝรั่งเศส " ที่เต็มไปด้วยความมันส์ระดับห้าดาวของจริง ดังนั้นในวันนี้ผมจึงได้เก็บรวบรวมเรื่องราวที่น่าสนใจหลังเกม " ฝรั่งเศสแซงทุบเบลเยี่ยม " ลิ่วเข้าไปชิงตำแหน่งแชมป์ยูฟ่าเนชันส์ลีกกับทีมชาติเสปน เริ่มต้นที่สังเวียนฟาดแข้งคือสนามกลางที่ตูริน " อัลลิอันซ์ สเตเดี้ยม " โดยเกมในครึ่งแรกค่อนข้างสูสีอย่างมากแต่เป็นฝ่ายเบลเยียมที่วันนี้จบคมกริบได้ 2 ประตูจากยานนิค การ์ราสโก้ในนาที 37 และโรเมลู ลูกากูในนาที 40 จบครี่งแรกด้วยสกอร์ 2 - 0 ครึ่งหลักฝรั่งเศสแก้เกมก่อนจะได้ประตูไล่มาเป็น 2-1 จากคาริม เบนเซมาในนาทีที่ 62 ซึ่งในช่วงนี้เป็นนาทีทองที่ฝรั่งเศสเหนือกว่าชัดเจนก่อนจะได้ประตูตีเสมอในอีก 7 นาทีต่อมาเมื่อยูริ ตีเลอมันส์ พลาดท่าเสียเหลี่ยมไปทำฟาวน์อองตวน กรีซมันในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินให้เป็นลูกจุดโทษก่อนที่คีลิยัน เอ็มบัปเป้จะรับหน้าที่ไม่พลาดตาตีเสมอเป็น 2-2 ก่อนที่ในนาที 87 กลับเป็นเบลเยียมได้เฮอีกครั้งเป็น 3 - 2 จากลูกากูแต่น่าเสียดายที่จังหวะก่อนหน้านี้เกิดล้ำหน้าทำให้ VAR ยึดประตูคืนไป ความน่าสนใจอีกจุดคือการที่สองพี่น้องต่างลีกอย่าง " เตโอ แอร์กน็องเดซ " และ " ลูคัส เอร์นานเดซ " ได้ลงสนามเป็นตัวจริงพร้อมกันในสีเสื้อทีมชาติ และก็เป็นเตโอที่กลายเป็นฮีโรซัดประตูชัยยิงไกลในนาที 90 เป็นจังหวะสุดท้ายของการแข่งขันที่แถบจะไม่เปิดโอกาสให้เบลเยียมแก้ตัวเลย ผลสุดท้ายเกมก็จบลงที่สกอร์ 2-3 เป็นฝรั่งเศสเข้าไปชิงกับเสปน ในช่วงที่เบลเยียมขึ้นนำ 2 ลูกในครึ่งเวลาแรกทำให้รูปเกมดูจะเข้าทางพวกเขาทั้งหมด แต่ส่วนตัวผมมองว่าความผิดพลาดของเบลเยียมคือการ " ทุบไม่ตาย " พวกเขาปล่อยให้ทัพตราไก่กลับมามีโมเมนตัมอีกครั้งหลังได้ประตูตีไข่แตกเร็ว มันจึงกลายเป็นเรื่องยากที่เบลเยี่ยมจะคุมเกมให้เข้าทางตัวเอง แถมยังโดนลงโทษจากความผิดพลาดต่อเนื่องในเวลาไม่นานที่ทำให้ทีมเสียลูกจุดโทษตั้งแต่นาที 69 พอโดนตีเสมอจึงเหลือเวลาพอให้ฝรั่งเศสที่กำลังได้ใจบุกกระหน่ำ และยังเป็นการเพิ่มความกดดันให้เบลเยียมเข้าไปอีก ประกอบกับความมั่นใจในช่วงพักครึ่งของฝ่ายฝรั่งเศสที่ผมมองว่ามีการกระตุนหนักหน่วง ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริงเพราะเอร์นานเดซได้ออกมาให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า " ในช่วงพักครึ่งพวกเราคุยกันว่าเราดีกว่าพวกเขา และเราเห็นสิ่งนั้นในครึ่งหลัง เราเล่นงานพวกเขาได้ทั้งหมดในครึ่งหลัง และด้วยเหตุนี้เราจึงเป็นฝ่ายชนะการแข่งขัน " สุดท้ายแล้วฟุตบอลเล่นทั้งหมด 90 นาที ฝรั่งเศสก็จะได้โอกาสเข้าไปเรียกความั่นใจอีกครั้งก่อนที่ฟุตบบอลโลกจะเริ่มขึ้นช่วงปลายปีหน้า ส่วนเบลเยียมมีโอกาสแหย่เท้าเข้าไปรอบชิงข้างหนึ่งแต่สุดท้ายก็โดนกระชากกลับแบบหลักหักตั้งตัวไม่ทัน ตรงจุดนี้คือเสน่ห์ของฟุตบอลที่แฝงไปด้วยความโหดร้าย เบลเยี่ยมก็ต้องมือเปล่าไปอีกถ้วยและต้องตามล่าความสำเร็จระดับชาติต่อไปก่อนที่ตัวหลักชุด " Golden " จะโรยราไปหมด ** Ref Picture ภาพหน้าปก : จาก www.uefa.com ภาพประกอบทั้งหมด จาก www.uefa.com ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมตช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !