เด็กหนุ่มคนนี้สมัยอยู่วูล์ฟแฮมตันก็ถือว่าฟอร์มค่อนข้างดี อาจจะไม่ได้ลงสนามติดต่อกันทุกนัดก็จริง แต่พอได้โอกาสลงเล่นก็ไม่เคยทำให้นายใหญ่แห่งทัพหมาป่าผิดหวังกดประตูสำคัญได้เสมอ นั่นจึงกลายเป็นดีลดำดินสุดพิเศษที่ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลไม่เคยคิดว่าจะได้ชายผู้นี้มาร่วมทีม และในบทความนี้คือเส้นทางชีวิตของ " ดิโอโก โจตา " แนวรุกหงส์ความหวังใหม่ของทีมชาติโปรตุเกส โจตาคือเด็กหนุ่มที่เกิดและเติบโตในปอร์โต นครหลวงของโปรตุเกส เริ่มเล่นในตำแหน่งแนวรุกกับทีมเยาวชนของ "ปากอส เฟอร์ไรร่า" ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2014-2016 โจตาเบิกประตูแรกในเกมลีกเมื่อปี 2015 ด้วยวัยเพียง 17 ปี ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยสุดที่ทำประตูให้ทีมชุดใหญ่ได้ ก่อนที่จะเป็น " แอตเลติโก มาดริด " เห็นแววซื้อไปปั้นต่อในปี 2016 โดยทำสัญญายาว 5 ปีแต่ในท้ายที่สุดโจตาไม่เคยลงเล่นให้ตราหมีเลยแม้แต่เกมเดียว ทำให้เขาต้องกลับมาเล่นแบบยืมตัวในบ้านเกิดกับ " เอฟซี ฟอร์โต้ " ในฤดูกาล 2016-2017 โดยสถติส่วนตัวลงสนามทั้งหมด 27 นัดยิงไป 8 ประตู ในฤดูกาล 2017 เป็นการเดินทางครั้งใหม่บนเกาะอังกฤษในสัญญายืมตัว 1 ปีกับ " วูล์ฟแฮมป์ตัน " ในเวทีอีเอฟแอลแชมเปียนชิปซึ่งเจ้าตัวโชว์ฟอร์มโหดจนวูล์ฟแฮมป์ตันซื้อขาดในปี 2018 ซึ่งกลายเป็มจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชื่อของเขาเริ่มโด่งดังพาทีมเลื่อนชั้นกลับมาเล่นพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ กลายเป็นกำลังหลักสำคัญพาทีมจบอันดับ 7 ไปเล่นฟุตบอลยุโรปครั้งแรกในรอบหลายปี โดยสถิติส่วนตัวกับทัพหมาป่าโจตาลงสนามไปทั้งหมด 11 เกมยิงไปทั้งสิ้น 33 ประตู และในปี 2019 โจตาก็ถูกเรียกติดทีมชาติโปรตุเกมสชุดใหญ่ ก่อนที่ในฤดูกาล 2020 โจตาในวัย 23 ปีจะย้ายมาร่วมทัพหงส์แดง " ลิเวอร์พูล " ในราคา 41 ล้านปอนด์ แบบเซอร์ไพรส์แฟนบอลเพราะในช่วงก่อนหน้านี้แถบจะไม่เคยมีขาวลือกับการย้ายมาหงส์เลย การเข้ามาในฐานะดาวรุ่งฝีมือน่าจับตามองจึงกลายเป็นความหวังในแนวรุกของลิเวอร์พูลที่กำลังเจอปัญหายิงยากพอดี ซึ่งโจตาก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวังเพราะในการลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีกครั้งแรกโจตาก็ยิงได้ทันทีในเกมเปิดบ้านทุบอาร์เซน่อลไป 3 - 1 หลังจากนั้นฟอร์มของโจตาก็เริ่มติดเครื่องยิงประตูสำคัญให้ทีมมากมายทั้งในพรีเมียร์ลีกและยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กลายเป็นนักเตะคนแรกที่ทำได้ 7 ประตูจากการลงเล่น 10 นัดแรกให้กับลิเวอร์พูลนับตั้งแต่ " ร็อบบี ฟาวเลอร์ " เคยทำไว้ในปี 1993 แถมยังทำลายอีกหนึ่งสถิติคือการยิงในบ้าน 4 เกมติดในพรีเมียร์ลีก จนทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทีมประจำเดือนตุลาคม 2020 แต่หลังจากนั้นฟอร์มของเขาก็โดนราดน้ำดับไฟ เพราะช่วงปลายปีดันไปพลาดท่าเจ็บหนักจากเกมยุโรปกับมิดทิลแลนด์ทำให้พักนาน 3 เดือน ซึ่งหลังจากหายเจ็บกลับมาอาจจะไม่ได้ยิงต่อเนื่องเหมือนเดิมแต่โจตาก็ยังเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมเหมือนเดิม ยิ่งในฤดูกาลล่าสุดเขาสามารถยึดตัวจริงแบบถาวรมาจากโรแบร์โต ฟีร์มิโนได้ สุดท้ายนี้กลับมามองที่ทีมชาติผมมองว่าขุมกำลังของโปรตุเกสในชั่วโมงนี้ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ถึงขั้นเหนือกว่าตอนที่ผงาดคว้าแชมป์ยูโร 2016 เสียด้วยซ้ำหากแต่ติดปัญหาตรงที่ตัวกุนซือยังไม่สามารถเคี้ยวให้ทีมลงตัวได้ เพราะนอกจากแกนหลักที่เป็นจุดศูนย์รวมของทีมอย่าง " คริสเตียโน โรนัลโด้ " ที่ยิงทำลายสถิติต่อเนื่องแล้ว โปรตุเกสยังอุดมไปด้วยนักเตะชุดใหม่ฟอร์มดีมากมาย อาทิเช่น รูเบน ดิอาส , บรูโน่ แฟร์นันด์ส , แบร์นาร์โด้ ซิลวา , เจา เฟลิกซ์ , ชูเอา ปาลินญ่า และอื่นๆ โดยอีกคนที่สำคัญไม่แพ้รายชื่อข้างต้นก็คือ " ดิโอโก โจตา " แนวรุกหงส์เลือดโปรตุเกสที่ขยับบทบาทมายึดตัวจริงเคียงข้าง CR7 ได้ถึงแม้ฟอร์มจะยังไม่สวยหรูเท่าที่ควรเพราะใช้โอกาสเปลืองไปบ้างในช่วงหลัง แต่ยังไงผมมองว่าประสบการณ์ฟุตบอลที่เข้มข้นกับลิเวอร์พูลจะสามารถนำมาปรับใช้ประโยชน์กับทีมชาติได้แน่นอน และโจตาจะกลายเป็นกำลังหลักนำพาโปรตุเกสเข้ารอบลึกในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศการ์ตาช่วงปลายปีหน้า ** Ref Picture ภาพหน้าปก : จาก Seleções de Portugal ภาพประกอบ 1 , 2 , 3 , 4 จาก Seleções de Portugal ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !