การผูกขาดพื้นที่แสดงให้เห็นถึง “บรรทัดฐาน” ที่แสดงออกผ่านสามัญสำนึกของคนในสังคมที่เอาตัวเองไปอยู่ในนั้นและทำไปโดยรู้ชอบ กรณีหลาย ๆ กรณีเรามองว่าพื้นที่สาธารณะนั้นมันสาธารณะจริงแน่หรือ? หรือมันเฉพาะสาธารณะแค่คนไม่กี่กลุ่ม? ประเด็นที่ท้าทายมากที่สุดในประเด็นสาธารณะก็คือการ “แย่งชิงพื้นที่” ซึ่งจะนำมันมาอธิบายว่าการแย่งชิงพื้นที่เพื่อกำหนดตำแหน่งจุดยืนในฝักฝ่าย กลุ่ม ทั้งนี้ทั้งนั้นเจตนารมณ์ในพื้นที่สาธารณะแท้จริงแล้ว มันอาจจะเป็นที่พูดคุยปรึกษาหารือ หรือ เป็นพื้นที่ที่มีปฎิบัติทางการสังคมอย่างเช่น วาทกรรมที่ถูกผลิตขึ้นมา อันที่จริงการแย่งชิงพื้นที่ทางความคิดล้วนแล้วมีความได้เปรียบเสียเปรียบในตัวมันเองที่เป็นนามธรรมอย่าง อุดมการณ์ แต่ความได้เปรียบอย่างรูปธรรมที่มันสถาปนากลายเป็น “อำนาจนำ” ผ่านกระบวนการขั้นตอนเพื่อที่จะติดตั้งชุดความคิดใหม่ต่อสังคม แน่นอนล่ะว่าพื้นที่สาธารณะขึ้นอยู่กับการแสดงออกผ่านสามัญสำนึกของคนในพื้นที่สาธารณะว่าแท้จริงแล้ว “ความแตกต่าง” และ “ทัศนคติ” มันก็ถูกกำหนด/คาดหวัง โดยชนชั้นนำนั้นเป็นสิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกมันจึงอยู่ร่วมกับระบบที่มันล้าสมัย และ ผิดปกติได้ ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงของโลก การเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีได้จุดประกายให้สิ่งเหล่านี้มาอยู่ในกรอบของ “โลกใหม่” ที่เป็นพื้นที่สาธารณะ และ เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่จะละเมิดไม่ได้ เหมือนกับในชีวิตจริง สิ่งเหล่านี้ได้ประกายและจุดความคิดให้มันตื่นตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นกลไกดั้งเดิมอย่างกระแสสังคม(Social current) มันเกิดในโลกใหม่นี้ เพราะ ฉะนั้นแล้วการสร้างปรากฏการณ์ในโลกใบใหม่บน Platforms ต่าง ๆ มันจึงรวดเร็วผ่าน “ตัวแทน/สถาบัน/องค์ประธาน” ที่มีฐานะต่างๆ ที่ทำให้การรับรู้ถึงกระแสและข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้พื้นที่สาธารณะบนโลกใบใหม่มันคืออุดมคติที่เป็นจริงอย่างแรกที่จะสามารถพูด เขียน และ ทำบางสิ่งลงไปได้ ในทรรศนะนึงมุมมองเกี่ยวกับพื้นที่สาธารณะเราต้องยอมรับในเรื่องของพื้นที่สาธารณะในแต่ล่ะแบบซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวการณ์และบริบทนั้น ๆ ทั้งนี้ความแตกต่างเกี่ยวกับพื้นที่สาธารณะในชีวิตจริงๆแล้ว มันเป็นพื้นที่สาธารณะที่เป็นได้ทั้ง public sphere (พื้นที่สาธารณะที่มองถึงการเห็นพ้องร่วมกัน และ ร่วมตกลงประเด็นที่มองถึงฉันทามติของ Jürgen Habermas 18/06/2472) กับ ที่เป็นได้ทั้ง public agonistic / agonistic pluralism (พื้นที่สาธารณะที่มองถึงประเด็นการถกเถียงเป็นเสาหลัก ทั้งนี้การดำรงอยู่ในด้านพฤติกรรมที่เข้มข้น และ ความหลากหลาย Chantal Mouffe 17/06/2486) แต่อย่างไรก็ตามพื้นที่เหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่ “อย่างนึง” ที่ขึ้นอยู่กับบริบทและสภาวการณ์ของสังคมนั้น ๆ เอง การผูกขาดพื้นที่สาธารณะ มันจะแสดงให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของบรรทัดฐานที่จะสร้างความเป็นสาธารณะแต่เพียงฝ่ายเดียว เพียงกลุ่มเดียว นี้เป็นเหตุที่เกิดขึ้นเองในสังคมไทยว่าพื้นที่สาธารณะนั้นต้องขึ้นอยู่กับ “หลักการความเชื่อ” อะไรบางอย่างที่ยังคงมีความเป็น Subjectivity โดยไม่ได้มุ่งเน้นไปถึง “หลักการข้อเท็จจริง” นั้นทำให้เรากำลังอยู่ในสภาพที่มี Post-truth อยู่ในทุกหนแห่งของสังคม การที่พื้นที่สาธารณะถูกบดบังความจริงที่เป็นเอกเทศ และ ถูกทดสอบ พิสูจน์ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด “ความท้าทาย และ การต่อต้าน” ต่อการผูกขาดนั้นเอง(ทั้งนี้ก็เป็นส่วนนึงที่ความจริงจะถูกเปิดเผยในการจะสร้างหรือต่อต้านการผูกขาดบางกรณี และ ในบางกรณีก็จะเป็นเรื่องของ การเมืองกับสุนทรีย์ศาสตร์ , การเมืองในมุมมองที่มองเกี่ยวกับเศรษฐกิจ) ทั้งนี้ทั้งนั้นการสร้างเหตุผลที่ตายตัว(Stereotype) ขึ้นมาเพื่อรักษากฏเกณฑ์ที่มันไม่ได้มีประสิทธิภาพอีกต่อไป และ มันขัดแย้งกับหลักเสรีประชาธิปไตย สิ่งเหล่านี้ย่อมถูกควรรื้อถอนและดำเนินไปสู่การสถาปนาความคิด/หลักการ/ข้อกำหนด/ระเบียบ ชุดใหม่ในสังคมได้ และ นั้นคือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในประเทศไทยขณะนี้ ถ้าไร้ซึ่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เราจะไม่สามารถต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมในสังคมไทย มันจะไม่เกิดพื้นที่การถกเถียงหาความจริง มันจะไม่สามารถพูดคุยหรือตำหนิผู้มีอำนาจได้ นี่จึงเป็นสิ่งที่เราต้องมีหลักคิดแบบนี้ให้ได้กว้างมากที่สุดเพราะมันคือ ‘สิ่งจำเป็น’ สำหรับความเป็นมนุษย์ของเราในพื้นที่สาธารณะ