ในขณะที่เมืองหนาวอย่างเมืองในประเทศตะวันตกนั้น นิยมการใช้พื้นที่ "โล่ง" เป็นพื้นที่สาธารณะที่สำคัญ เนื่องจากผู้คน "โหยหา" แสงแดดเพื่อสร้างความอบอุ่น คนเดินเท้าจึงอาจต้องพึ่งพาสนามทัศน์ หรือพื้นที่ทั้งหมดที่มองเห็นจากจุดใดจุดหนึ่งเป็นสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการสัญจร เพื่อเข้าถึงและเพื่อผ่านพื้นที่ตลอดจนทำกิจกรรมอื่นๆ อาจกล่าจได้ว่า ทั้งคน "ใน" และ "นอก" พื้นที่ ที่ความคุ้นเคยกับพื้นที่ในระดับที่แตกต่างกันในประเทศเมืองหนาว ล้วนมีแนวโน้มที่จะเลือกเส้นทางหรือนิยมพื้นที่ลักษณะใกล้เคียงกัน คือ การมองหาพื้นที่โล่งหรือพื้นที่ที่มีสนามทัศน์ที่กว้าง มองเห็นไปได้ในระยะไกล ในการกำหนดเส้นทางหรือจุดกิจกรรมขอบคุณภาพ :https://pixabay.com/thจากงานวิจัยของ อ.ไขศรี ภักดิ์สุขเจริญ ได้วิเคราะห์เปรียบเทียบการศึกษาระหว่างสองพื้นที่สาธารณะ ในพื้นที่เมืองชั้นในของกรุงเทพฯและในพื้นที่ชานเมืองของชุมชนจังหวัดนนทบุรี โดยสร้างคำตอบที่ยืนยันการคานแนวคิดพื้นที่สาธารณะที่ประสบความสำเร็จตามทฤษฎีตะวันตก ว่าสนามทัศน์อาจไม่ได้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการสร้างความนิยมในการเข้าใช้พื้นที่สาธารณะ เนื่องจากเมืองไทยมีสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น พื้นที่สาธารณะในชุมชน โดยเฉพาะชุมชนในเมืองชั้นใน มีความคับแคบในลักษณะเป็นตรอกซอยที่ลัดเลี้ยวล้อมรอบด้วยถนนสายหลักที่มีลักษณะความหนาแน่นด้วยยานพาหนะ รวมทั้งพื้นที่ชานเมืองที่มีลักษณะความหนาแน่นของการตั้งถิ่นฐานที่เบาบาง ขาดการวางแผนที่ชัดเจน และประกอบไปด้วยชุมชนประภทบ้านจัดสรรนั้น มีผลทำให้สัญฐานของพื้นที่ในประเทศฝั่งตะวันตกที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น และมีโครงข่ายพื้นที่สาธารณะที่เหมาะสมกับการเดินเท้ามากกว่าขอบคุณภาพ :https://pixabay.com/thหนึ่งในสองการศึกษานั้น ได้แก่ งานวิจัยของปราณระฟ้าพรหมประวัติ ซึ่งชี้ให้เห็นพฤติกรรมทองคนเดินเท้าในพื้นที่สาธารณะ ภายในชุมชนเสาชิงช้ากรุงเทพมหานคร โดยทำการสังเกตการณ์ในรายละเอียด พบว่าคนในชุมชนไม่นิยมการใช้พื้นที่โล่งเป็นพื้นที่ทางสังคม โดยเฉพาะพื้นที่ดาดแข็งขนาดใหญ่ที่ร้อนอุแดดในช่วงเวลากลางวัน ทั้งยังไม่นิยมพื้นที่บาทวิถีริมถนนสายหลักขนาดใหญ่ ที่มีการจราจรคับคั่งหนาแน่น ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีพื้นที่สนามทัศน์ที่ดีกว้างขวางและมองเห็นไปได้ไกลกลับมีแต่เฉพาะคน“ นอก” ที่ไม่มีความคุ้นเคยกับพื้นที่เท่านั้น เช่นนักท่องเที่ยว หรือ คนต่างพื้นที่ที่ยังต้องพึ่งพาการมองเห็นพื้นที่ในภาพรวมเพื่อทำความเข้าใจ และเลือกเส้นทางการสัญจรและพื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ เนื่องจากการมองเห็นเป็นการสร้างความเข้าใจต่อสัณฐานของพื้นที่ได้ง่ายที่สุด โดยอาศัยสนามทัศน์ที่มองเห็นต่อเนื่องรอบทิศทางออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ แต่หากมีความคุ้นเคยพื้นที่เป็นอย่างดีแล้วเช่นคนในพื้นที่เองกลับมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้“ ซอยลัด” (shortcuts) ที่มีระยะทางที่สั้นกว่าแต่อาจมีลักษณะเป็นตรอกหรือทางเดินเท้าเล็กๆ ในชุมชนที่ลัดเลี้ยวเชื่อมต่อเป็นโครงข่ายภายในบล็อกถนน ซึ่งที่รู้กันเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ทั้งเป็นทางสัญจรหรือพื้นที่ทางสังคมพื้นที่เหล่านี้ มักมีสัณฐานที่คับแคบยานพาหนะเข้าถึงได้ไม่สะดวก หรืออีกนัยหนึ่งมีพื้นที่สนามทัศน์ที่จำกัด แต่มีร่มเงาต่อเนื่องเกิดเป็นลักษณะของการใช้“ พื้นที่สาธารณะขนาดเล็ก” (small public space) เป็นกระเปาะของกิจกรรมต่างๆที่เชื่อมต่อถึงกัน และเกาะตัวเป็นแนวยาวตามถนนซอยภายในโดยมีขนาดพื้นที่ที่แตกต่างกัน บางบริเวณเป็นพื้นที่ที่สามารถนั่งพื้นได้ ใช้พบปะสังสรรค์อย่างไม่มีพิธีรีตรองของผู้คนในชุมชน ที่สำคัญคือ พื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่สาธารณะ โดยหน่วยงานท้องถิ่นแต่อย่างใด รวมทั้งไม่มีสภาพแวดล้อมของการใช้พลังงานเชื้อเพลิงของยานพาหนะเครื่องปรับอากาศ ฯลฯ มีแต่ทางเดินเท้า ลดเลี้ยวร่มเงาจากชายคาอาคารต้นไม้ เป็นพื้นที่ทางสังคมขนาดเล็กๆ ที่มีชั้นเชิงในการเชื่อมต่อของมุมมอง จากพื้นที่สู่พื้นที่ต่อเนื่องกันอยู่ภายในบล็อกถนน ที่ล้อมรอบด้วยถนนใหญ่ที่มีการจราจรคับคั่งและหนาแน่นขอบคุณภาพ :https://pixabay.com/thอย่างไรก็ดีพื้นที่สาธารณะในชุมชนชานเมือง ซึ่งอาจจะไม่มีคนนอก หรือนักท่องเที่ยวเข้าไปปะปน ใช้พื้นที่เท่าใดนักตลอดจนตรอกซอกซอย ก็มิได้แออัดหนาแน่น จนเป็นพื้นที่โอบล้อมที่มีร่มเงาที่ดีเนื่องจากสิ่งปลูกสร้างมีความหนาแน่นต่ำโดยมีลักษณะเป็น “ซอยกำแพงรั้ว"กล่าวคือ มีสิ่งปลูกสร้างกระจัดกระจายไม่ต่อเนื่อง และมีที่โล่งว่างเลื่อนไหลทะลุถึงกันเป็นส่วนใหญ่งานวิจัยของธิติมากลางกำจัด (2551) ชี้ให้เห็นพฤติกรรมของคนเดินเท้าในพื้นที่ชุมชนท่าทรายจังหวัดนนทบุรีว่า ระดับความนิยมของการใช้พื้นที่สาธารณะ มักจะเกิดบนถนนสายหลักที่เป็นแกนกลางที่มีเพียงไม่กี่เส้นเท่านั้นในชุมชน ซึ่งถนนแกนหลักเหล่านี้ มักจะมีสนามทัศน์ที่ดีอยู่แล้ว ในภาพรวมและโดยเฉพาะเป็นถนนที่มีสิ่งปลูกสร้างโอบล้อมอยู่มากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับเส้นทาง หรือพื้นที่อื่นๆจึงอาจกล่าวได้ว่า ผู้คนยังคงเลือกที่จะใช้พื้นที่หรือเส้นทางที่มีการโอบล้อมของมวลอาคารที่มีแนวโน้มว่า จะสร้างร่มเงาให้กับการเดินเท้าได้เป็นสำคัญ และถ้าเส้นทางนั้นมีสนามทัศน์ที่ดีด้วย รวมทั้งสะดวกในการเชื่อมต่อไปยังที่อื่นๆ มีกิจกรรมการค้าพาณิชย์ขายเครื่องอุปโภค-บริโภค เรียงรายตลอดทางพื้นที่หรือเส้นทางนั้นก็จะเป็นที่นิยมหรือมีระดับความเป็นอเนกประโยชน์สูงเช่นกันขอบคุณภาพ :https://pixabay.com/thข้อค้นพบสำคัญจากสองงานวิจัยดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าสนามทัศน์อาจไม่ได้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการเหนี่ยวนำความนิยมของการใช้พื้นที่สาธารณะในชีวิตประจำวัน ในบทบาทของการเป็นพื้นที่ทางสังคมสำหรับคนไทย เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้น และมลพิษจากการจราจรที่ติดขัดบนทางสัญจรหลัก คนไทยมักนิยมพื้นที่ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อๆกัน ไปตามแนวทางสัญจร ปัจจัยบวกที่น่าสนใจคือ การมีร่มเงาที่ดีจากมวลอาคารที่โอบล้อม การที่พื้นที่สาธารณะนั้นๆ เป็นส่วนหนึ่งของโครงข่าย ทางเดินลัดที่สามารถเชื่อมต่อไปยังที่อื่นๆได้ โดยไม่ต้องผ่านพื้นที่โล่งแจ้ง การมีกิจกรรมการค้าพาณิชย์ไม่ว่าจะเป็นประเภทถาวร (ในอาคาร) หรือแบบชั่วคราว (ตลาดนัดรถเป็นเพิงทายอาหาร ฯลฯ ) ในบริเวณริมทางสัญจรส่วนศักยภาพ ในการมองเห็นที่ดี หรือพื้นที่สนามทัศน์นั้น เป็นเพียงปัจจัยเสริมของการใช้พื้นที่สาธารณะอย่างอเนกประโยชน์ของคนไทยเท่านั้น ขอบคุณภาพ :https://pixabay.com/thอย่างไรก็ดีหากวิเคราะห์พื้นที่สาธารณะอย่างไทย ในมิติที่นอกเหนือจากมิติทางด้านกายภาพ โดยเน้นถึงสามประเด็นสำคัญในการวิเคราะห์พื้นที่สาธารณะของโดรีนแมสซี (Doreen Massey) ได้แก่ ความสัมพันธ์ ความหลากหลายและการเป็นระบบเปิด (Massey, 2005) นั้นพบว่าพื้นที่สาธารณะส่วนใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีความกีดกันเฉพาะกลุ่ม และจำกัดการเข้าใช้อยู่มากหลายพื้นที่ ที่เรียกว่าเป็นพื้นที่สาธารณะสำคัญของเมือง เช่น ลานคนเมืองลานหน้าศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่ง ฯลฯ คนบางกลุ่มบางประเภทมักไม่ได้ “ รับอนุญาต” ให้เข้าใช้ หรืออีกนัยหนึ่ง พื้นที่เหล่านี้อาจไม่ได้เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง ถึงแม้จะเป็นพื้นที่รองรับกิจกรรมสำคัญ โดยเฉพาะพิธีกรรมพิธีการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ หรือนันทนาการ แต่ก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้คนที่ต้องการทำกิจกรรมอีกหลายอย่างมากมายที่เป็นไปได้ในเมืองเข้าใช้พื้นที่ด้วย เช่นกิจกรรมการค้านอกระบบ การปรับตัวการแสดงอัตลักษณ์ของคนกลุ่มต่างๆ ทางสังคมเพื่อความเท่าเทียมเป็นต้นการกีดกัน“ กิจกรรมนอกระบบ” อย่างเช่น การค้าข้างทางอย่าง หาบเร่แผงลอย คนไร้บ้าน วณิพก ฯลฯ มักเป็นกิจระเบียบของเทศบาลที่ยึดใช้ในเมืองใหญ่หลายๆเมืองรวมทั้งกรุงเทพฯในรูปแบบของการ“ จัดระเบียบพื้นที่สาธารณะ” โดยมองว่าวิถีของ“ ผู้เร่ร่อนในเมือง” (urban nomads) เหล่านี้เป็น สิ่งไม่พึงประสงค์ และเลือกที่จะล้อมรั้วพื้นที่สาธารณะสำคัญบางแห่งของเมืองไว้ โดยอ้างถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการลดปัญหาอาชญากรรมในเมืองขอบคุณภาพ :https://pixabay.com/thการฟื้นฟูเมืองในรูปแบบของการตัดถนนผ่านพื้นที่ชุมชนที่มีซอยลัดเป็นจำนวนมาก โดยที่บางพื้นที่เหล่านั้นมีกลไกการสร้างความรับรู้จดจำเส้นทางและพื้นที่สาธารณะของคน ทั้งภายในและภายนอกชุมชนก็อาจส่งผลกระทบทางลบเช่นกัน พื้นที่สาธารณะเล็กๆในศูนย์กลางเมืองหรือเมืองชั้นในที่หายไป จากโครงการฟื้นฟูบูรณะเมืองที่สร้างด้วยเหตุผลของการพัฒนาพื้นที่เก่าเพื่อลดปัญหาความแออัด อาจบันทอนโครงสร้างความเข้าใจในระบบการเชื่อมต่อของพื้นที่สาธารณะอย่างไทยในชุมชนเล็กๆ ที่มีตรอกซอยลัดและถูกใช้เป็นพื้นที่ทางสังคมในชีวิตประจำวันไปอย่างน่าเสียดาย จึงถือเป็นนโยบายการฟื้นฟูเมืองที่สวนทางกับความพยายามในการสร้างพื้นที่สาธารณะที่แท้จริง สำหรับเมืองที่สามารถรองรับ ทุกคน ทุกกิจกรรม ทุกเวลาไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่ทั้งมีและไม่มีอำนาจต่อรองในสังคม ขอบคุณภาพ :https://pixabay.com/thพื้นที่สาธารณะรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในอาคารศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาในเมืองทั่วโลกรวมทั้งหลายเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯห้าง“ สรรพสินค้า” ถือเป็นพื้นที่ที่สามารถดึงเศรษฐกิจออกจากทางเท้าเข้าสู่ในอาคาร โดยเปลี่ยนทั้งสภาพแวดล้อมและจิตวิทยาของผู้ซื้อที่เคยต้องเดินทางไปซื้อหาเฉพาะสินค้าที่ตนเองต้องการ มาเป็นการถูกรายล้อมด้วยสินค้าที่ผู้ซื้ออยากจะซื้อรวมทั้งน่าจะซื้อ โดยเป็นสินค้าที่อาจไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ ตั้งแต่แรกอาคารเหล่านี้มีการสอดแทรกพื้นที่ส่วนกลางในรูปแบบที่เรียกว่าเป็น“ พื้นที่สาธารณะ” ที่มีร่มเงาปรับอากาศ ปลอดภัย สะอาดและเป็นระเบียบ แต่ในขณะเดียวกัน ได้สอดแทรกสัญญะของการมีความกีดกันเฉพาะกลุ่มและจำกัดการเข้าใช้อยู่มาก เสมือนการปูลานคนเมืองด้วยกระเบื้องโมเสคหรือติดตั้งราวทองเหลือง พื้นที่เหล่านี้นอกจากจะมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อจากระบบปรับและกรองอากาศแล้ว ยังมีการกรองผู้คนบางประเภทบางกิจกรรมและบางเวลาด้วย เสมือนมีกิจระเบียบของเทศบาลที่ต้องดูแลการจัดการความเสื่อมโทรมของพื้นที่การแต่งกาย และอากัปกิริยาของคนในพื้นที่ ยิ่งพื้นที่สาธารณะในเมืองมีความเสื่อมถอยด้านปริมาณและคุณภาพมากขึ้นเท่าใด พื้นที่สาธารณะในห้างสรรพสินค้าก็ยิ่งทวีความนิยมมากขึ้นเท่านั้น “ พื้นที่สาธารณะในห้าง” เหล่านี้จึงไม่ใช่แค่พื้นที่พาณิชย์ธรรมดาทั่วไปแต่เป็น“ พื้นที่สาธารณะเทียม” (pseudo-public space) ที่กลายเป็นวิถีสำคัญของชีวิตคนเมือง รวมทั้งคนกรุงเทพฯ นอกเหนือจากสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมไปด้วย การโฆษณาประชาสัมพันธ์และการสาธิตต่างๆ ยังมีองค์ประกอบของการสร้างมิติเสมือนพื้นที่สาธารณะ ทั้งแบบปาร์คและแบบธีมปาร์ค แต่ความเป็นสาธารณะนั้นอยู่ภายใต้การสอดส่องดูแลของกล้องวงจรปิด และยามรักษาความปลอดภัย เพื่อจัดการสิ่งที่ไร้ระเบียบและความแปลกแยกต่างๆเพื่อความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ มิติของการสร้างให้เกิดความรู้สึกเป็นปกติธรรมดาของพื้นที่สาธารณะในห้างเหล่านี้ เป็นเทคนิคของการควบคุมดูแลจัดการในรูปแบบของอำนาจผ่านการปกครองพื้นที่ให้เป็น“ ปกติ” ในแนวคิดแบบฟูโคเดียน (Foucauldian regimes of normalization) (Foucault, 1991) สิ่งใดที่ขัดขวางต่อการคงสภาพแวดล้อมให้อยู่เป็นปกติ ต้องถูกกำจัดออกไปลูกค้าของห้างควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ไม่เสื่อมโทรมยับย่น การนั่งพื้นหรือแม้แต่การนั่งนานเกินไปในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ล้วนถูกมองว่า เป็นสิ่งไม่ปกติที่สมควรถูกกีดกันออกไปอย่างเงียบๆ ภายใต้กฎระเบียบที่ตกลงกันอย่างเคร่งครัดของเจ้าของห้างในขณะที่“ ความไม่ปกติ” เหล่านี้จะไม่ถูกจับตาในพื้นที่สาธารณะทั่วๆไปที่ไม่ได้กีดกันคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกไปด้วย ถือว่าทุกคนคือสมาชิกของสังคมพื้นที่สาธารณะ ในห้างจึงถือเป็นพื้นที่กิจกรรมสันทนาการสำหรับคนชั้นกลางในเมืองมากกว่า เป็นพื้นที่สาธารณะแบบประชาธิปไตย ที่รองรับและบริการทุกคนในสังคม ขอบคุณปกภาพ :https://pixabay.com/th