ในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่งที่มีลูกวัยกำลังจะต้องเตรียมสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมต้น และมีความคาดหวังกับลูกค่อนข้างมากในแต่ละช่วงวัยที่เขาเริ่มเติบโต ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่วัยหัดพูด "เมื่อไรหนอลูกเราจะส่งเสียงอ้อแอ้น๊า" เมื่อถึงวัยเตาะแตะเริ่มฝึกเดิน "ลูกเราจะเริ่มเดินได้หรือยัง จะเดินได้เก่งเหมือนเด็กคนอื่นๆ มั้ยนะ" เป็นต้น โดยความคาดหวังเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้ผู้เขียนมีทั้งความสมหวัง และผิดหวัง ถึงแม้ตอนนี้ลูกของผู้เขียนเองอาจจะยังไม่โตพอที่ผู้เขียนจะมีประสบการณ์มากมายพอจะสอนใครได้ แต่ก็ขอเขียนเกล็ดความรู้ไว้เตือนใจตัวเองสักนิดว่า "พ่อแม่" ควรคาดหวังกับ "ลูก" อย่างไร ถึงจะไม่ผิดหวัง และควรจะต้องฝึกและทำอย่างไรในอนาคตจากที่เกริ่นไว้ข้างต้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในทุกช่วงวัยของลูกแม้จะเพียงเล็กน้อยสำหรับคนอื่นแต่สำหรับแม่หนึ่งคนแล้ว มันคือความคาดหวังทั้งสิ้น โดยในความคาดหวังส่วนหนึ่งแล้วมักลงเอยด้วยความผิดหวัง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าลูกของเรา หรือลูกของผู้เขียนทำผิด หรือทำไม่ได้ตามที่คาดหวัง แต่เป็นเพราะตัวพ่อแม่เองต่างหากที่คาดหวังกับลูกมากเกินไป แล้วจะรู้ได้อย่างไรละว่า "คาดหวังเกินไป" เป็นอย่างไร?ความคาดหวังมากเกินไปคือเมื่อพ่อแม่คาดหวังแล้ว แต่ลูกทำไม่ได้ พ่อแม่จะรู้สึกเสียใจ ต่อว่า ตัดพ้อ ดุด่า ให้แก่ลูก นั่นเป็นสัญญาณที่อันตรายมากๆ เลยทีเดียว แล้วจะปรับอย่างไรไม่ให้คาดหวังมาก รวมถึงจะทำอย่างไรถึงจะไม่ผิดหวัง ประการแรกเลย พ่อแม่เองต้องไม่เปรียบเทียบลูกตนเองกับลูกคนอื่น เพราะเมื่อผิดหวังเราจะมองเด็กที่เก่งกว่านั่นเป็นเรื่องที่สังคมเราเห็นกันดาษดื่น เช่น "ลูกคนนั้นเรียนเก่งจัง" ไม่ก็ "ลูกคนนี้นิสัยดีมาก" แต่เมื่อสมหวังเราจะมองเด็กอีกคนด้อยกว่าในทันที ทั้งที่จริงแล้ว ลูกเราก็อยู่ในมาตรฐานเดียวกันกับเด็กๆ เหล่านั้นเพียงแต่จังหวะ โอกาส และเวลา ลูกเราอาจจะถูกที่พอดีประการต่อมาเมื่อเราไม่เปรียบเทียบแล้ว เราจะเริ่มมองเห็นศักยภาพของลูกเราได้ชัดเจนมากขึ้น ผู้เขียนขอไม่กล่าวถึงการนำเกรด 4 3 2 1 มาเป็นตัววัดในเรื่องการเรียน เพราะผู้เขียนมีความเชื่อว่าตัวเกรดไม่ได้เป็นตัวประเมินศักยภาพได้เต็ม 100 เพราะในตัวเกรดมีทั้งคะแนนดิบจากการสอบ มีการทำกิจกรรม มีการเก็บพอร์ตสะสมนั่นเอง แต่จะให้มองลึกเข้าไปในตัวรายละเอียดปลีกย่อยของการได้มาซึ่งเกรดแต่ละตัว หากลูกเราคะแนนสอบดี คะแนนเก็บน้อย นั่นอาจจะหมายถึงว่าลูกเราอาจจะไม่ใช่เด็กกิจกรรม อาจจะไม่ถนัดเข้าสังคม ไม่ได้ขาดความรับผิดชอบ แต่อาจจะยังไม่รอบคอบเท่าที่ควร พ่อแม่อาจจเสริมด้วยการหากิจกรรมที่ทำร่วมกันกับคนอื่นๆ เพื่อเสริมทักษะด้านอื่นๆ ที่ขาด และทางตรงกันข้ามหากคะแนนกิจกรรมเพอร์เฟกต์ แต่คะแนนสอบไม่ผ่านเกณฑ์ เราก็ประเมินลูกเราในเบื้องต้นก่อนว่า ลูกเรามีความรับผิดชอบต่องาน ลูกเราเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงเลยนะ อาจจะค่อยเสริมกิจกรรมด้านการเรียนให้กับลูกในภายหลัง แต่ทั้งหมดแล้วต้องไม่นำไปเปรียบเทียบกับลูกข้างบ้าน หรือเพื่อนร่วมห้องนั่นเอง ซึ่งพ่อแม่จะต้องรับรู้ด้วยว่าลูกเราเรียนแล้วมีความสุข และไม่เครียดจนเกินไปนั่นเองท้ายที่สุดสุดหลังจากที่เราประเมินลูกเราด้วยความไม่อคติแล้ว พ่อแม่จะสามารถปรับทัศนคติตนเองได้เอง เพราะรู้อยู่แล้วว่า ลูกเราเป็นเช่นไร และยอมรับได้ หากจะเสริมทักษะให้กับลูกไม่ว่าจะด้านใด ล้วนต้องเกิดจากการยินยอมของตัวลูกเอง หากลูกโตพอก็ปรึกษาพูดคุยกับลูกได้เลย แต่หากลูกยังเล็กการเสริมทักษะไม่ว่าจะด้านใดผู้เขียนมองว่ามันคือการเสริมพัฒนาการในวัยเรียนรู้ซึ่งจะต้องไม่มากจนเกินวัยของเด็ก และเมื่อพ่อแม่มีความคาดหวังสิ่งใดต่อลูก เช่นต้องการให้สอบเข้าโรงเรียนบลาๆ ตามที่พ่อแม่มุ่งหมาย ไม่ว่าลูกจะสอบได้หรือไม่ได้อย่างไร สุดท้ายแล้วก็เหลือแค่คำว่า "ลูกทำได้ดีที่สุดแล้ว" ไม่ว่าจะคำชมหรือคำปลอบใจ จะไม่มีคำกล่าวโทษใดๆ ไม่มีคำต่อว่า เพราะพ่อแม่เป็นเพียงแค่คนนอกที่รับรู้ศักยภาพลูกเราเองอยู่แล้ว ความเสียใจที่ลูกได้รับเมื่อเขาต้องผิดหวัง หากเขาต้องมารับรู้ความรู้สึกผิดหวัง ความรู้สึกเสียใจจากพ่อแม่อีก เชื่อได้เลยว่าลูกก็คงจะยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนับจากนี้ไปผู้เขียนจะนำข้อคิดที่ผู้เขียนได้ตระหนักขึ้นได้นี้ ปรับทัศคติแล้วนำไปใช้ เพื่อที่ในอนาคตลูกของผู้เขียนหรือแม้แต่ลูกของพ่อแม่ที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้ ลูกของพวกเราคือประชากรโลกคนหนึ่งที่มีภูมิคุ้มกันอันเกิดจากพื้นฐานในสังคมครอบครัวที่มีความสุข และมีประสิทธิภาพมากเลยทีเดียวปล.รูปภาพทั้งหมดผู้เขียนทำโดยการสร้างด้วย Canvaเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !