ในการแข่งขันศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/2021 เป็นหนึ่งปีที่การแข่งขันเป็นไปด้วยความดุเดือด หลาย ๆ ทีมต่างโชว์ฟอร์มดุ โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นคือ "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ฤดูกาลนี้สามารถขึ้นมาในอันดับที่ 2 ในการแข่งขันนี้ ตามหลังทีมจ่าฝูงอย่าง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล อยู่เพียงแค่ 1 แต้ม วันนี้เราจะมาเจาะประเด็นเกี่ยวกับฟอร์มของ "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้กันครับ เลสเตอร์ ซิตี้ หลังจากที่พลาดการไปดวลในศึกยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกในฤดูกาลที่แล้ว จากการที่พวกเขาพลาดท่าใน 5 นัดสุดท้ายของฤดูกาล เก็บได้เพียง 4 คะแนนจาก 15 คะแนนเต็ม ทำให้พวกเขาจบได้เพียงอันดับที่ 5 ไปแบบน่าเจ็บใจ อีกทั้งเมื่อเริ่มเปิดฤดูกาล พวกเขาก็เสียแบ็คซ้ายตัวหลัก ดีกรีทีมชาติอังกฤษอย่างเบน ชิลเวลล์ไปให้กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ทำให้พวกเขาต้องเริ่มที่จะปรับเปลี่ยนแผนการเล่นที่พวกเขาใช้ นับตั้งแต่ที่เบน ชิลเวลล์เจ็บไปก่อนที่เขาจะย้ายไปเชลซีนั้น เบรนดอน ร็อดเจอร์ จึงทำการเปลี่ยนแผนการเล่นมาใช้ 3-4-2-1 หรือ 3-5-2 และหลังจากที่พวกเขาเสียชิลเวลล์ไป เลสเตอร์ก็ไม่รอช้าที่จะเสริมทัพ โดยนำผู้เล่นตัวหลักเข้ามาด้วยกัน 3 คน ดังนี้ - ทิโมที่ คาสตานเย่ (แบ็คขวาวัย 24 ปี จากสโมสรอตาลันต้า ค่าตัว 24 ล้านยูโร) - เวสลี่ย์ โฟฟาน่า (กองหลังวัย 19 ปี จากสโมสรแซงค์-เอเตียน ค่าตัว 35 ล้านยูโร) - เซนจิส อุนแดร์ (ปีกขวาวัย 23 ปี ยืมตัวจากโรม่า ค่าตัว 3 ล้านยูโร) นี่คือ 3 คนหลักที่พวกเขานำมาเสริมทัพในซีซั่นนี้ ซึ่งเห็นได้ว่าพวกเขาเน้นทำทีมโดยการสร้างอนาคตให้กับทีม พวกเขานำนักฟุตบอลที่มีอายุน้อย ๆ มารวมกันกับผู้เล่นตัวหลักวัยเก๋าประจำทีมอย่างแคสเปอร์ ชไมเคิล, จอนนี่ อิแวน, คริสเตียน ฟุชส์, เวส มอร์แกน, มาร์ค อัลไบร์ทตัน และเจมมี่ วาร์ดี้้ และเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2563 วันประเดิมฤดูกาลใหม่ก็มาได้มาถึง พวกเขาเปิดฤดูกาลมาด้วยการเอาบุกไปเยือน ถล่มเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ทีมน้องใหม่ที่มาจากเดอะแชมป์เปี้ยนชิปไปอย่างไม่ยากเย็น 3-0 ก่อนจะเปิดบ้านเอาชนะเบิร์นลี่ย์ไป 4-2 และนัดที่พวกเขาเด่นที่สุด คือนัดที่ 3 ของฤดูกาล เมื่อต้องบุกไปเยือน "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รองแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว โดยในนัดนั้นเลสเตอร์เลือกที่จะปรับแผนมาเป็น 5-4-1 ทิ้งวาร์ดี้เป็นกองหน้าตัวเป้าเพียงตัวเดียว และพวกเขามาเล่นรอสวนกลับ วัดได้จากสถิติการครองบอล เกมนั้นพวกเขาครองบอลได้เพียง 28 % แต่พวกเขาเน้นการส่งบอลเพียงน้อยครั้ง แล้วอาศัยความผิดพลาดของแนวรับแมนฯ ซิตี้ ในนัดนั้นพวกเขาชิงความผิดพลาดจากแมนฯ ซิตี้ได้ดีมาก ๆ เรียกจุดโทษไปได้ถึง 3 ครั้งให้กับทีม อีกทั้งนัดนั้น วาร์ดี้ระเบิดฟอร์มสุดยอด ซัดแฮตทริกไปได้ พาทีมเลสเตอร์ ซิตี้ คว้าชัยเหนือแมนฯ ซิตี้ไปได้ 5-2 แต่พวกเขาก็พลาดท่าในนัดต่อมา พวกเขาเปิดบ้านโดน "ขุนค้อน" ถล่มไป 3-0 ในชนิดที่พวกเขาครองบอลได้ทั้งเกมสูงถึง 70 % แต่โดนทีเด็ดการสวนกลับของเวสต์แฮม ทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเจ็บใจ อีกทั้งในเกมต่อมา พวกเขาก็พลาดท่าเป็นนัดที่ 2 พวกเขาเสียประตูในช่วงท้ายเกมจากรอสส์ บาร์คลี่ย์ ดาวเตะของทีมแอสตัน วิลล่า พ่ายไป 1-0 ก่อนที่ในนัดต่อมา พวกเขาคืนฟอร์มเก่ง บุกไปทุบ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อลไปได้ 1-0 จากจังหวะที่จากยูริ ติเลอมองต์ เปิดบอลยาวทะลุช่องให้เซนจิส อุนแดร์ วิ่งทะลุช่องว่างของกองหลังอาร์เซน่อล ก่อนที่จะเปิดบอลเข้ากลางให้เจมมี่ วาร์ดี้ ศูนย์หน้าตัวเก่งที่ลงมาเป็นตัวสำรองได้กระโดดโขกบอลเน้น ๆ ผ่านมือแบรนด์ เลโน่ ผู้รักษาประตูมือกาวของอาร์เซนอลเข้าประตูไป ส่งผลให้เลสเตอร์กลับมาเอาชนะได้อีกครั้ง และในนัดล่าสุด ในนัดที่พวกเขาต้องบุกไปเยือน "ยูงทอง" ลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมน้องใหม่ที่โชว์ฟอร์มดีมาก ๆ ในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะในนัดก่อนหน้านั้น ที่พวกเขาบุกไปทุบแอสตัน วิลล่า 3-0 โดยในนัดนั้น ศูนย์หน้าของทีม "ยูงทอง" อย่าง "แพททริค แบมฟอร์ด" ซัดแฮตทริกอีกด้วย โดยในนัดนั้นเป็นลีดส์ที่ครองบอลได้มากกว่า ได้ครองบอลถึง 67 % แต่เมื่อมาเจอทีมที่จุดเด่นคือการสวนกลับอย่างเลสเตอร์ ซิตี้ ทำเอาลีดส์ก็ไปไม่เป็น พวกเขานำไปก่อน 2-0 จากฮาร์วี่ บาร์นส์ และยูริ ติเลอมองต์ หลังจากนั้น ลีดส์ตีไข่แตกได้สำเร็จจากสจวร์ต ดัลลัส ก่อนที่เลสเตอร์จะมาซัดอีก 2 ประตูจากดาวยิงอย่างเจมมี่ วาร์ดี้ และจุดโทษของยูริ ติเลอมองต์ในช่วงท้ายเกม พาเลสเตอร์ ซิตี้บุกไปทุบลีดส์ ยูไนเต็ดได้ถึงถิ่น 4-1 ทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2 ของตารางได้อย่างสวยงามตามหลังลิเวอร์พูลเพียง 1 คะแนน สาเหตุสำคัญที่ทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ฟอร์มดีมาก ๆ ในฤดูกาลนี้นัด เริ่มมาจากการเลือกใช้แผนและแทคติกของ "แบรนดอน ร็อดเจอร์" ผู้จัดทีมของเลสเตอร์ ซิตี้ รวมทั้งฟอร์มการเล่นของผู้เล่นหลาย ๆ คนที่โชว์ฟอร์มได้ดีอย่างผู้เล่นที่เสริมทัพอย่างทิโมที่ คาสตานเย่, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า และรวมผู้เล่นตัวหลัก ๆ จากฤดูกาลก่อนอย่างยูริ ติเลอมองต์, ฮาร์วี่ บาร์นส์ และดาวซัลโวประจำทีมอย่างเจมมี่ วาร์ดี้ ที่ซัดไป 7 ประตูในฤดูกาลนี้ ขึ้นแท่นรองดาวซัลโวประจำลีก เป็นรองเพียงแค่ซอน ฮึง มิน และโดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน ที่ทำได้ 8 ประตูในฤดูกาลนี้ "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ที่ฤดูกาลนี้โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดนั้น ไม่แน่ว่าถ้าพวกเขา ยังรักษามาตรฐานฟอร์มการเล่นของทีมแบบนี้ได้ต่อไปเรื่อย ๆ เก็บแต้มสำคัญ ๆ ได้อย่างนี้ต่อไป เราอาจจะได้เห็น "จิ้งจอกสยาม" สร้างปรากฏการณ์สุด "มหัศจรรย์" เถลิงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกแบบในฤดูกาล 2015/2016 ก็ได้นะครับ เรียบเรียงเรื่องราวโดย "นายคิ้ว" 6.11.2563 ขอบคุณรูปภาพจาก sport.trueid.net รูปปก / รูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3