โซะ (蘇) คือขนมโบราณชนิดหนึ่งของชาวญี่ปุ่นซึ่งมีอายุกว่า 1,000 ปีมาแล้ว เป็นขนมที่นำนมมาแปรรูป ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยสิ่งที่ต้องใช้มีเพียงนมและเวลากับความอดทน เพราะการจะทำเมนูนี้ได้ก็ต้องเคี่ยว รอ และก็รอเท่านั้น ในการทำครั้งหนึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานถึงห้าชั่วโมง ดังนั้นแล้วในยุคโควิด-19 อาละวาดแบบนี้ก็คงเหมาะมากแล้วที่ชาวญี่ปุ่นจะทำให้เมนูนี้ได้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง ที่มาของ โซะ (蘇) คาดการณ์กันว่าเกิดจากการทำรับประทานกันในหมู่คนชนชั้นสูงของญี่ปุ่น ตั้งแต่สมัยยุคอะซึกะ ยุคนะระ ไปจนถึงยุคเฮอัง ซึ่งในช่วงยุคสมัยที่กล่าวมาเป็นยุคที่ศาสนาพุทธจากประเทศอินเดียได้เข้ามาในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกผ่านทางจีนและเกาหลี แต่ว่าสูตรในการทำนั้นไม่ได้มีระบุไว้เป็นที่แน่นอน มีเพียงแค่วิธีการทำแบบคร่าว ๆ ที่อ้างอิงไว้ในหนังสือ Engishiki ซึ่งเป็นหนังสือภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับกฎหมายและประเพณี เขียนเสร็จสิ้นไว้ในปี ค.ศ. 927 โดยมีการระบุเกี่ยวกับขนมชนิดนี้เอาไว้ว่า “ นม 1 โตะ (斗) เทียบเท่ากับ 18 ลิตร (4.8 แกลลอน) เพื่อให้ได้โซะ 1 โช (升) เท่ากับ 1.8 ลิตร ” แม้ว่าวิธีที่ได้จากหนังสือนั้นจะมีส่วนประกอบและการทำที่ดูเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้มีระบุไว้เป็นแบบแผนที่แน่ชัด ทำให้หลาย ๆ คนพยายามจะทดลองและปรับแต่งสูตรด้วยวิธีของตัวเอง ดังนั้นสีและรสชาติของขนมจึงออกมาแตกต่างกัน ด้วยเทคนิควิธีทำและเวลาที่ใช้ในการทำ อาจมาจากการใช้ไฟแรงเร่งอุณหภูมิ หรือบ้างก็ใช้ไฟอ่อนค่อย ๆ เคี่ยวไปอย่างใจเย็น อาจจะปรุงรสเพิ่มเติมด้วยการใส่น้ำตาลและเกลือลงไป หรืออาจจะมีน้ำผึ้งไซรัปอะไรสักอย่างมาทานควบคู่กันก็ได้ ซึ่งแต่ละวิธีที่กล่าวมานี้ก็ได้มาจากชาวญี่ปุ่นที่แชร์ผลงานขนมนี้กันในโลกออนไลน์นั่นเอง จากที่ได้ทำความรู้จักกับ โซะ(蘇) แล้วก็พบว่าขนมชนิดนี้ส่วนประกอบหลักก็คือนม ซึ่งบางคนก็อาจจะคิดแล้วว่าหน้าตามันเหมือนกับชีส (Cheese) รสชาติก็คงจะใกล้เคียงกันเลยสิ ก็ขอตอบว่าคุณเข้าใจถูกแล้วล่ะ เนื่องจากผู้เขียนเองก็ยังไม่เคยได้ชิมรสชาติขนมชนิดนี้ ก็ได่แต่เพียงอ่านจากข้อมูลต่าง ๆ ที่ค้นพบ และก็เคยได้ทดลองทำชีสสดมาก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยเพราะไม่อยากต้องเทนมทิ้งไปเปล่า ๆ ถ้าหากมันหมดอายุก่อน เลยใช้การแปรรูปเพื่อยืดอายุของนม วิธีการก็คือเอานมสดมาต้ม เคี่ยวและคนแล้วก็รอให้เดือดสักพักหนึ่ง พอยกลงจากเตาให้คลายความร้อนแล้วก็ใช้น้ำมะนาวเทลงไปพร้อมกับคนเบา ๆ แล้วพักทิ้งไว้จนเกือบเย็นจะเห็นว่านมมีการแยกตัวออกจากกัน จึงนำมากรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วก็บีบไล่น้ำออกให้หมด แล้วจึงได้เป็นชีสสดที่สามารถนำไปทำชีสพายได้ พอได้มารู้จักขนมชนิดนี้แล้วก็รู้สึกว่าวิธีการก็คล้ายกันมากและน่าสนใจมากทีเดียว เดี๋ยวคงต้องไปทดลองทำดูบ้างแล้วล่ะขอบคุณข้อมูลจาก soranews24 ขอบคุณภาพปกบทความจาก Freepik และภาพประกอบบทความ ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3