ภาพจาก Fajruddin Mudzakkir/Unsplashในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้เมื่อ 230 ปีก่อนกัปตันคุกทำให้เรารู้จักที่นี่ ในท้องทะเลที่แสนจะกว้างใหญ่ มีเกาะเล็กเกาะน้อยกระจายอยู่ทุกที่ ท้องทะเลที่สวยงาม แต่นั้นไม่ได้แปลว่ามันจะน่าภิรมย์เสมอไป ท่ามกลางความสวยงามยังคงไว้ซึ่งความอันตรายและน่าทึ่ง ผู้คนที่อาศัยที่นี่ต้องต่อสู้กับภัยทางธรรมชาติ ดินแดนแห่งนี้เป็นดั่งดินแดนมายา ในแปซิฟิกใต้ยิ่งเกิดคลื่นสูงเท่าไหร่ยิ่งทำให้ระดับน้ำเพิ่มมากขึ้น พายุที่ก่อให้เกิดคลื่นเหล่านี้เดินทางกว่า 4.5 กิโลเมตร ทำให้สัตว์ถูกน้ำพัดพาออกไปยังเขตแนวประการังแต่นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้สัตว์หลายชนิดได้วิวัฒนาการไปเป็นสายพันธุ์ใหม่ มนุษย์กับคลื่นที่นี่อยู่ด้วยกันมายาวนาน ทำให้การโต้คลื่นเริ่มต้นจากที่นี่โดยมีมานานกว่า 1,500 ปีมาแล้ว โลกใบนี้ไม่มีมหาสมุทรไหนส่งผลต่อชีวิตและวัฒนธรรมของมนุษย์เท่ามหาสมุทรแปซิฟิกใต้ มหาสมุทรแปซิซิกมีขนาดความกว้างอยู่ที่ 16,000 กิโลเมตรเป็นความกว้างใหญ่ที่พอจะใส่ทุกทวีปลงมาในนี้ได้เลย และมีพื้นดินอยู่ไม่ถึงร้อยละหนึ่ง ในจุดที่น้ำทะเลอุ่นของนิวซีเเลนด์มารวมกับน้ำเย็นจากมหาสมุทรตอนใต้ที่นั้นมีเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวอยู่แห่งหนึ่ง เกาะแมคควารี่ (MacQuarie Island) แม้มันจะตั้งอยู่ลำพังแต่ไม่ได้ถูกทิ้งล้าง ในบางช่วงของปีสัตว์หลายชนิดจะอพยพมาอาศัยอยู่ที่นี่ เเมวน้ำช้างจะมาขยายพันธุ์ที่นี่ในช่วงเดือนสิงหาคม และเดือนต่อมาผู้อพยพรายต่อมาคือเพนกวินโรแยวมันจะมาขึ้นฝั่งที่นี้หลังจากใช้เวลาหากินในท้องทะเลเปิดเป็นระยะเวลาถึง 7 เดือน มันจะมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับแมวน้ำช้างคือกลับมาขยายพันธุ์แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันหาทางกลับมาที่เกาะนี้ได้อย่างไร ตอนอยู่ในทะเลกว้างมันจะใช้ชีวิตอย่างสันโดษแต่เมื่อมาถึงที่นี่มันจะต้องปรับตัวในการอยู่ร่วมกันกับตัวอื่นและสัตว์ชนิดอื่น บรรยากาศที่นี่ไม่ได้มีแค่ความสวยงามและความรักของเพนกวินโรแยวและแมวน้ำช้างเท่านั้น แต่ในละติจูดทางใต้ลมมหาสมุทรพัดฝนให้ตกสัปดาห์ละ 6 วันครึ่งถ้าฝนไม่ตกหิมะจะตกแทน เพนกวินและแมวน้ำยังคงหากินไปกระเเสน้ำเย็น กระแสลมที่แรงที่สุดทำให้กระแสน้ำมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกปะทะปลายแหลมของทวีปอเมริกาใต้แล้วจึงพัดไปทางเหนือ กระเเสน้ำเย็นไหลไปถึง 13,000 กิโลเมตรจนกระทั่งถึงหมู่เกาะที่ห่างไกล ภาพจาก Museums Victoria/Unsplashเกาะกาลาปากอส Galapagos หมู่เกาะกาลาปากอส ขนาดที่กระแสน้ำไหลไปทางเหนือกระเเสน้ำก็อุ่นขึ้นแต่ก็ยังคงเป็นกระแสน้ำที่เย็นและอุดมสมบูรณ์ ทำให้สัตว์บางชนิดอาศัยอยู่ที่นี่ได้ สิงโตทะเล พวกมันอยู่บนเกาะนี้มาเนิ่นนานจนกลายเป็นสายพันธุ์ที่ถูกแยกออกโดยเฉพาะ พวกมันอาศัยหากินภายใต้คลื่นทะเลนานหลายชั่วโมงซึ่งเป็นแหล่งที่ปลาค่อนข้างจะชุม สิงโตทะเลแบ่งปันน่านน้ำนี้กับเพนกวินชนิดเดียวที่พบในเขตร้อนเพนกวินกาลาปากอส มันอาศัยอยู่ที่นี่ได้เนื่องจากน้ำที่เย็นและเป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์แต่ภาวะนี้ไม่แน่นอนเสมอไปเมื่อเกิดปรากฏการณ์เอลนินโญ่ทำให้กระแสน้ำไหลย้อนกลับ มีน้ำอุ่นเข้ามาแทนน้ำเย็นแล้วปลาเริ่มหายไป เพนกวินและสิงโตทะเลจะอดอยากอยู่ที่นี่และห่างไกลออกไปในมหาสมุทรแปซิฟิกยังคงมีเกาะเล็กๆเกิดขึ้นอยู่ทั่วไปตามท้องมหาสมุทรและสิ่งที่นาอัศจรรย์คือเหล่าสัตว์ทั้งหลายพวกมันรู้วิธีจะมาถึงเกาะเหล่านี้ได้อย่างไรภาพจาก Amy Perez/UnsplashMetoma Island เกาะวานูอาตู ในเกาะเล็กๆใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ปูเป็นเพียงสัตว์ธรรมดา แต่ปูที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ธรรมดาในเกาะวานูอาตูเล็กๆนี่มีสัตว์แปลกที่ชวนให้ตกตะลึง เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ปูมะพร้าว ตัวใหญ่สุดมันหนักได้ถึง 4 กิโลกรัมและขาของมันกางได้ถึง 1 เมตร มันจะออกหากินในช่วงเวลากลางคืน แม้มันจะเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปในเขตแปซิฟิก แต่เฉพาะเกาะนี้ที่จะสามารถเห็นมันได้เยอะเป็นอย่างมากและยังคงเป็นปริศนาว่าทำไมปูชนิดนี้ถึงมีขนาดที่ใหญ่โตขนาดนี่ ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตทำให้มันแทบจะคอลงพื้นที่ในเกาะแห่งนี้ มะพร้าวเป็นอาหารโปรดของมันมันจึงได้ชื่อว่าปูมะพร้าว มันสามารถแบกมะพร้าวไปได้ไกลถึงห้ากิโลเมตร มันอาจจะเป็นสัตว์ชนิดเดียวในโลกที่สามารถแกะมะพร้าวได้ มันใช้กล้ามที่ทรงพลังในการฉีกมะพร้าว มันเก่งกาจแค่บนพื้นดินแต่ไม่ใช่ในท้องทะเล มันจะจมน้ำตายได้ในไม่กี่นาที แล้วพวกมันสามารถเดินทางมาถึงเกาะอันห่างไกลนี้ได้อย่างไร นั้นเป็นเพราะปูตัวเมียจะปล่อยไข่ลงในมหาสมุทรทำให้ไข่ของมันลอยไปตามท้องทะเล ตัวอ่อนจะฟักภายใน 50 วัน นั้นแสดงว่ามันต้องหาบ้านใหม่ให้ได้ภายใน 50 วัน สำหรับสัตว์ที่ล่องลอยในท้องทะเลอันกว้างนั้นการที่มันจะพบแผ่นดินนั้นเป็นเพียงโอกาสแค่ 1 ในล้านมันจะรอดได้ต้องอาศัยโชคอย่างมาก แต่บางครั้งโชคก็มาในรูปแบบพายุไซโคลน แต่ละปีพายุเขตร้อนที่ทรงพลังเช่นนี้จะเกิดขึ้นทั่วน่านน้ำในมหาสมุทร พายุลูกใหญ่ที่สุดอาจจะมีความกว้างถึง 1,000 กิโลเมตร มันเป็นภัยพิบัติที่ใหญ่ที่สุดในแปซิฟิกใต้ แต่มันก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยกระจายสัตว์ไปตามเกาะต่างๆที่โดดเดี่ยวและห่างไกลภาพจาก Jeremy Zero/UnsplashHawaiin Island หมู่เกาะฮาวายอยู่ไกลจากทวีปที่ใกล้ที่สุดออกไป 3,500 กิโลเมตร ถือเป็นหมู่เกาะที่อยู่โดดเดี่ยวและห่างไกลที่สุดของโลก ไกลจนมีสัตว์อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ถึง 500 ชนิดตลอด 30 ล้านปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่น่าทึ่งเนื่องจากสัตว์แต่ละชนิดที่มาอาศัยอยู่ที่นี้หลายชนิดถูกพายุไซโคลนพัดพามา แมลงวันผลไม้ของฮาวายก็เป็นอีกหนึ่งชนิดที่ถูกพามาที่นี่ ในการหาคู่แมลงวันตัวผู้จะชูท้องของมันขึ้นพร้อมแลบลิ้นออกมาเพื่อทำการยั้วแมลงวันตัวเมีย แมลงวันชนิดนี้วิวัฒนาการมาแล้วกว่า 1,000 สายพันธุ์ความโดดเดี่ยวของฮาวายมีอิทธิพลอย่างมากต่อการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นี้ รวมถึงหนอนผีเสื้อกลางคืนชนิดหนึ่งมันจะเจาะเนื้อใบไม้เมื่อทำรังนี้เพื่อเอาไว้ดักจับกินแมลงตัวอื่น นั้นเป็นสิ่งที่หนอนผีเสื้อที่อื่นไม่ทำคือการกินเนื้อ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมมันถึงมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดเช่นนี้ในแต่ละเกาะที่อยู่ในทะเลเเปซิฟิกใต้มีสัตว์ที่แปลกเฉพาะถิ่นของตัวเอง การที่มีเกาะมากมายมันทำให้มีสัตว์ที่หาไม่ได้จากส่วนอื่นของโลกภาพจาก Jakob Owens/UnsplashPentecost Island การอาศัยอยู่ที่ถูกแบ่งแยกของมนุษย์ทำให้มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันออกไป พวกเขามีธรรมเนียมเป็นของตัวเอง บางที่ก็มีธรรมเนียมที่ประหลาดมาก ในเผ่า Pentecost การไม่กลัวความสูงเป็นคุณสมบัติเบื่องต้นของผู้ชายในเผ่า การกระโดดบันจี้จัมมีต้นกำเนิดมาจากที่นี้ ผู้ชายในเผ่าจะใช้เถาวัลย์มัดที่ขาตัวเองแล้วกระโดดลงมาจากนั่งร้านที่ถูกสร้างขึ้นมา การกระโดดแบบนี้เป็นวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวพวกเขาเชื่อกันว่ายิ่งกระโดดลงมาเฉียดพื้นดินมากเท่าไหร่ผลผลิตในฤดูการถัดไปยิ่งจะงอกงามมากเท่านั้นประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่แปซิฟิกใต้เพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อไม่ถึง 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับสัตว์พวกมันเข้ามาอยู่อาศัยในที่แห่งนี้นานกว่า 30 ล้านปีก่อน แต่มนุษย์ใช้เวลาเพียงไม่นานถ้าเทียบกับพวกมันในการยึดครองที่อยู่อาศัยเกือบทั้งหมดในเขตนี้ ในเกาะแบงต์ผู้หญิงสร้างเสียงดนตรีจากทะเลเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้ทุกชีวิตบนเกาะ เหตุการณ์สำคัญที่เป็นตัวกำหนดปฏิทินของบรรดาชาวเกาะในแปซิฟิกใต้นับตั้งแต่ที่พวกเขามาอยู่ที่นี่ สิ่งนี้เกิดขึ้นเพียงคืนเดียวในเดือนพฤศจิกายน ชาวเกาะจะมีไฟฉายพร้อมสวิงที่ทำเองมารวมตัวกันที่ริมทะเล เมื่อพระจันทร์ฉายจะมีหนอนชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นนั้นคือตัวแม่เพียง ชาวเกาะจะช้อนเอาแม่เพียงในเวลาเพียงสองสามชั่วโมงแต่พวกเขากับจับแม่เพียงมาได้เป็นร้อยกิโลกรัม แม่เพียงเต็มไปด้วยโปรตีนและไขมันมันเปรียบได้เหมือนคาเวียร์แห่งแปซิฟิกใต้ในเดือนมิถุนายนของทุกปี ฉลามเสือจะว่ายน้ำมาหลายร้อยกิโลเมตรเพื่อมารอปราฏการที่กินเวลาไม่เกินสองสัปดาห์ พวกมันรู้เวลาที่จะมาที่นี่อย่างแม่นยำ ลูกนกอาบาทอชจะมารวมกันอยู่นี่เป็นเป้านิ่งให้ฉลาม ลูกนกจะทำการหัดบินที่นี่ มันทำให้นกหลายตัวที่หัดบินครั้งแรกตกลงมาในน้ำนั้นทำให้มันเป็นอาหารที่โปรดปรานของฉลาม กว่าสองสัปดาห์มีลูกนกหลายร้อยตัวตกเป็นเหยื่อของฉลามเสือ ภาพจาก Datingscout/UnsplashAnuta Islandในหมู่บ้านของชาวเกาะแห่งหนึ่งที่อาจจะอยู่ห่างไกลโลกมากที่สุด พวกเขาเป็นชาวเกาะอานูตา พวกเขามีเทคนิคการจับปลาแบบพิเศษ โดยการดำน้ำจับปลา และพวกเขายังมีวิธีอีกมากมายในการจับปลา ชาวเกาะอานูตาอาศัยอยู่บนเกาะที่มีขนาดแค่ 250,000 ตารางเมตร ชีวิตของพวกเขาที่นี่แทบไม่เปลี่ยนไปจากตอนแรกที่พวกเขาเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ 400 ปีที่แล้ว พวกเขาดำรงอยู่ด้วยการปลูกมันเผือกและสาเก พวกเขาใช้เรือที่อาจจะสร้างมากว่า 150 ปี เนื่องจากทรัพยากรที่มีจำกัพวกเขาจึงต้องรักษาทุกอย่างไว้อย่างดีที่สุด ความโดดเดี่ยวของเกาะมีผลต่อสังคมที่นี่ เนื่องจากที่นี่ไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะทำการแลกเปลี่ยนหรือติดต่อกับคนภายนอกจึงทำให้พวกเขาที่อยู่ที่นี่รักและมีความกลมเกลียวกันเป็นอย่างมาก พวกเขาช่วยกันและทำงานเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ที่นี่มีประชากรหนาแน่นแต่พวกเขากับบริหารและใช้ทรัพยากรในเกาะอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด แต่ไม่ใช่ว่าทุกชนเผ่าในแปซิฟิกจะสามารถทำได้เหมือนพวกเขาภาพจาก N Storye/UnsplashEaster Island เกาะอีสเตอร์ ท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่มีเกาะแห่งหนึ่งที่ถูกตักตวงผลประโยชน์จนเสียหาย ครั้งหนึ่งเกาะแห่งนี้เป็นหนึ่งเกาะที่ไปได้ยากที่สุดแล้ว เชื่อกันว่าเมื่อก่อนที่นี่เคยมัสัตว์ป่ามากมายมากกว่าเกาะกาลาปากอส สมัยนั้นเนินเขาทุกลูกเต็มไปด้วยต้นปาล์มและยังเป็นบ้านของนกที่ใหญ่ที่สุดในแปซิฟิกใต้ หลายชนเผ่าที่อาศัยอยู่ที่นี้ได้ทำการแข่งขันกันเพื่อจะแกะสลักหินก้อนใหญ่นั้นทำให้พวกเขาต้องใช้ทรัพยากรไม้ในการขนย้ายหินขนาดใหญ่เหล่านี้ และชาวลาบานุยเริ่มเผาผลาญทรัพยากรจนหมดหลังจากนั้นก็เกิดความวุ่นวายแต่ละเผ่าเริ่มก่อสงครามต่อสู้กันเองทำให้อารยธรรมของพวกเขาตกต่ำและล้มสลายไปพร้อมกับฝูงนกที่เคยอาศัยอยู่ที่นั้นไปพร้อมกับพวกเขา ทุกวันนี้รูปสลักหินกลายเป็นเพียงอนุสรณ์สถานแสดงถึงการมีอยู่ของพวกเขา ต่างกันกับชาวเกาะอานูตา พวกเขาก็ล่าสัตว์และนกเช่นกันแต่พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะล่ายังไงให้นกเหล่านั้นยังคงเหลือให้ลูกหลานของพวกเขาได้ล่าในอนาคตข้างหน้าชีวิตในแปซิฟิกใต้นั้นอันตรายแต่ถ้าหากเราคำนึงถึงธรรมชาติและสิ่งรอบข้างมนุษย์และสัตว์ย่อมอาศัยไปพร้อมกันที่นี่ได้อีกยาวนานภาพจาก Stephanie Morcinek/Unsplashขอบคุณสารคดีจากเรื่อง South Pacific : Ocean Of Islands เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !