คงเป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ที่ในวงการกีฬาบ้านเราต้องสะดุดลงเนื่องจากสถานการณ์ "COVID-19" ที่ทุกชนิดกีฬาในประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับความคาดไม่ถึงในหลาย ๆ ด้าน แต่สิ่งที่ได้รับผลมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่อง "ยิม" ที่เป็นสถานที่สร้างนักกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ เพื่อก้าวเข้าสู่นักกีฬาอาชีพ รวมทั้งออกกำลังกายเพื่อสุขภาพด้วยการเล่นกีฬา ในบทความนี้จะเป็นการวิเคราะห์ปัญหาของการจัดการยิม "เทควันโด" ซึ่งเป็นกีฬาต้นตำรับจากแดนเกาหลี ที่มีชื่อเสียงและสร้างผลงานจากการแข่งขันหลายทัวร์นาเมนต์ ไม่ว่าจะระดับโอลิมปิก ยูธโอลิมปิก เอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ ชิงแชมป์โลก แกรนด์สแลม รวมทั้งเก็บคะแนนสะสม Ranking เพื่อติด 1 ในนักกีฬาที่ทำผลงาน สะสมคะแนน Ranking ได้ดีที่สุด เพื่อคว้าโควตาได้สิทธิ์ลุยต่อในมหกรรมกีฬาอย่างโอลิมปิกเกมส์ แต่ไม่ใช่แค่ Tokyo 2020 เท่านั้นที่ต้องเลื่อนการจัดการแข่งขันลง การจัดการยิมเทควันโดจะเป็นการบริหารจัดการที่มีความเสี่ยงพอสมควรไม่ว่าจะเรื่องค่าเช่ายิม ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอุปกรณ์ฝึกซ้อม ค่า Uniform ทั้งชุดเทควันโดประเภทต่อสู้ (Kyourugi) กับประเภทท่ารำ (Poomse) และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ยิมเทควันโดแต่ละยิมพึงมีเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เรียนตามเป้าหมาย แต่ในมุมของผู้เขียนเห็นว่ามีความเสี่ยงเรื่องการระบาดของ COVID-19 ไม่น้อยกว่ายิมมวยเลย จึงต้องมีการรักษาความสะอาดอย่างเข้มงวด เพื่อลดการแพร่เชื้อ พอมีกฎออกมาเพื่อ Lockdown ลดความเสี่ยงแล้วเลื่อนไปจนกระทั่งเดือนกรกฎาคมในปีเดียวกัน และทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยิมที่อยู่ในท้องที่ของจังหวัดนั้น จึงขอแบ่งอุปสรรคเป็นข้อ ๆ ให้มองเห็นภาพชัดเจนขึ้น ดังนี้ อุปสรรคครั้งใหญ่ที่ยิมเทควันโดต้องเจอ เศรษฐกิจ : การเติบโตของยิมเทควันโดไม่ใช่แค่ชื่อเสียงของผู้สอนอย่างเดียว แต่อยู่ที่ปริมาณเด็กที่มาเรียน และสอนในแต่ละวัน ส่วนมากจะเป็นเด็กที่ผู้ปกครองสนับสนุนให้ลูกหลานเอาดีทางการกีฬา ย่อมมีค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับว่าเป็นรอบธรรมดา หรือรอบนักกีฬา พอเมื่ออยู่ในช่วงวิกฤต จะเกิดปัญหา "ชักหน้าไม่ถึงหลัง" มีปัญหาเรื่องค่าเช่ายิม ค่าน้ำค่าไฟ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เจ้าของยิมต้องแบกรับ ซึ่งสวนทางกับรายรับที่มีน้อยกว่ารายจ่ายที่เสียไป รวมทั้งความขาดสภาพคล่องทางการเงินตามมา บางยิมเริ่มขายอุปกรณ์ และเสื้อผ้าเทควันโดแบบล้างสต็อกกันถ้วนหน้า เพื่อบริหารค่าใช้จ่ายบนความอยู่รอด สังคม : เมื่อมีกฎ Lockdown เข้ามา ทำให้ไม่สามารถพบปะเจอหน้ากันได้ตามปกติระหว่างนักกีฬา ผู้เรียน ผู้ปกครอง และโค้ชเอง บางยิมเริ่มหันไปสอนเด็กทางช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่การนำช่องทางออนไลน์มาสอนทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงจากปกติ แม้ว่าการสอนด้วยช่องทางนี้จะเหมือน Real Time แต่การปฏิสัมพันธ์ทางจิตวิทยาลดลงไปด้วย การขาดการสนับสนุนที่ตรงจุด : ยิมเทควันโดส่วนมากจะเป็นในเชิง Own Business หรือธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเป็นหมวดที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือที่ยังไม่ทั่วถึง ทำให้ยิมหลายแห่งต้องอยู่ในสภาพ "จมปลัก" เพื่อรอวันปลดล็อกเท่านั้น จึงควรมีการช่วยเหลือให้ตรงจุด และควรมีเงินชดเชยให้กับทุกอาชีพ เพื่อที่จะประคับประคองจนกว่าสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติ การวางแผนที่ยังไม่รู้ทิศทาง : หลายยิมเริ่มฝึกซ้อมเพื่อให้นักกีฬาเข้าสู่เพื่อความเป็นเลิศอย่างเต็มรูปแบบ จนกระทั่งวิกฤตเข้ามาถึง ทำให้การวางแผนที่จะแข่งต้องเลื่อนไปอย่างกำหนดความคาดหวัง ทิศทาง เป้าหมายของนักกีฬาไม่ชัดเจน อีกทั้งยังไม่สามารถวัดสมรรถภาพนักกีฬาได้ละเอียดเท่าที่ควร ปัญหาที่ตามมาคือสมรรถภาพนักกีฬาที่ควรจะเป็นอาจเสริมสร้างได้ไม่เต็มร้อย ความเชื่อมั่น : ก่อนที่จะเกิดวิกฤต ในยิมอื่น ๆ จะเสี่ยงเรื่องฝุ่น PM 2.5 ก่อนหน้านั้นแล้ว จนมาทวีความรุนแรงใน COVID-19 ภายหลัง ความเชื่อมั่นหลังจากนี้คงจะเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากต้องรอวันปลดล็อกถึงจะฟื้นตัวได้อีกครั้ง แต่กว่าจะฟื้นตัวต้องใช้เวลา รวมทั้งต้องเรียกความเชื่อมั่นของนักกีฬา ผู้ปกครอง รวมทั้งต้องแน่ใจว่าทุกอย่างเป็นปกติถึงที่สุดแล้วจริง ๆ จึงจะเชื่อมั่นในโค้ชอีกครั้ง หากมองในทางธุรกิจจะติดขัดในด้านสภาพคล่องค่อนข้างมากกว่าช่วงอื่น ๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าปัญหาที่เกิดมาอย่างสาหัสจะไม่กลับมาอีก หรือจะรับมือยังไงต่อไปในวันข้างหน้า ผู้เขียนมองว่าการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องรอดูตอนต่อไป แต่ก็คงไม่พ้นคำว่า "ประคับประคองตนเอง" และ "หาช่องทางสำรอง" เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง การจัดการยิมเทควันโดจะมีมาตรการคล้าย ๆ กับการจัดการฟิตเนส หรือชมรมกีฬาต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถเปิดเป็นทางการได้ จึงต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ผู้เขียนหวังว่าการจัดการยิมจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น จนกว่าจะเริ่มทำการตามปกติเช่นเคย ได้แต่ภาวนาว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะคลี่คลายด้วยดี...อีกครั้ง ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4