หากจะพูดถึงเสน่ห์ของเมืองไทย หนึ่งในนั้นคือเรื่องของอาหาร ซึ่งเป็นที่ประทับของผู้ที่มาเยือนเพราะอาหารประเทศไทยมีรสชาติที่อร่อยอีกทั้งยังพิถีพิถันในการทำ มีการตกแต่งอาหารให้ดูน่ารับประทาน รวมถึงมีรสชาติที่เป็นเอกลัษณ์ทั้งของคาวและของหวาน ในบทความนี้ผู้เขียนของแนะนำหนึ่งเมนูของหวานในอาหารไทย ซึ่งทำมาจากของที่ขึ้นชื่อว่าเปรี้ยวมาก นั้นคือ "มะม่วงแก้ว" มะม่วงแก้ว : ภาพโดยผู้เขียน มะม่วงแก้วถือเป็นของหวานที่ทำมาจากของเปรี้ยว ซึ่งถือเป็นวิธีการทำอาหารที่เป็นเอกลัษณ์ของประเทศไทย กล่าวคือ มีการนำวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นมาประยุกต์ได้ทุกรูปแบบและการเนรมิตอาหารที่มีรสชาติต่าง ๆ ให้ตรงตามความต้องการ เช่น ทำขมให้เป็นหวาน ทำเปรี้ยวให้เป็นหวาน ทำเค็มให้เป็นเปี้ยว ทำหวานให้เป็นคาว ทำคาวให้เป็นหวาน ฯลฯ โดยเมนูต่าง ๆ เหล่านี้ถูกถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่การนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน สำหรับวิธีการทำมะม่วงแก้ว ผู้เขียนจะขอนำสูตรที่ผู้เขียนได้เรียนมาจากแม่และได้ปรับสูตรเล็กน้อย ซึ่งจากที่ได้ลองทำแล้วรับรองว่าลงตัวมากในการทำของเปรี้ยวให้เป็นหวาน วัตถุดิบ มะม่วงดิบที่มีรสเปรี้ยว น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ เกลือ น้ำปูนใส วิธีการทำ ๑.เตรียมมะม่วงเปรี้ยวตามที่ต้องการ ขอย้ำว่าต้องเป็นมะม่วงดิบที่มีรสเปรี้ยวและสดคือสอยลงมาจากต้นใหม่ ๆ หรือไม่เกิน ๒๔ ชั่วโมงเท่านั้น จึงจะทำให้มีรสชาติของมะม่วงแก้วอย่างแท้จริง จากนั้นนำมะม่วงที่ได้มาปอกเปลือกแล้วล้างน้ำให้สะอาด มะม่วงดิบ : ภาพโดยผู้เขียน ๒.นำมะม่วงที่ปอกเปลือกแล้วมาสับหรือขูดเป็นฝอย โดยผู้เขียนแนะนำให้ใช้ที่ขุดมะละกอ เพราะจะทำให้ได้เส้นมะม่วงที่มีขนาดเท่ากันและสวยงาม (ที่ขูดมะละกอในภาพ หาซื้อได้ตามร้านขายของใช้ทั่วไป) มะม่วงที่ขูดแล้ว : ภาพโดยผู้เขียน ๓.ให้นำมะม่วงที่ขูดแล้วไปแช่น้ำปูนใสไว้ ๑๕ นาที (โดยวิธีการทำน้ำปูนใสผู้เขียนจะเขียนไว้ตอนท้ายของบทความนี้) หลังจากที่แช่แล้วให้นำมาล้างน้ำสะอาด ๒ ครั้ง มะม่วงแช่น้ำใส : ภาพโดยผู้เขียน ๔.นำน้ำตาลไปเคี่ยวในหมอโดยใช้ไฟอ่อนที่สุด จากนั้นเติมเกลือลงไปเพื่อให้ได้รสเค็ม ให้ชิมน้ำหวานดูว่ามีรสเค็มหรือยังหากยังไม่มีให้ใส่เกลือลงไปเรื่อย ๆ จนออกรสเค็ม แต่ห้ามให้ข่มรสหวานเด็จขาด การเคี่ยวน้ำตาล : ภาพโดยผู้เขียน สำหรับน้ำตาล สาเหตุที่เลือกใช้ทั้งน้ำตาลทรายและน้ำตาลปี๊บเพราะ น้ำตาลปี๊บจะให้รสชาติที่หวานไม่จัดเท่าน้ำตาลทรายและยังมีความหมอกว่าน้ำตาลทราย แต่ต้องเติมน้ำตาลทรายลงไปด้วยเพราะหากใช้แต่น้ำตาลปี๊บจะมีปัญหา ประการแรกคือจะเปลืองน้ำตาลมากเพราะน้ำตาปี๊บหวานน้อยกว่าน้ำตาลทราย และประการที่สองหากใส่แต่น้ำตาลปี๊บอย่างเดียวเวลาเย็นจะจับกันเป็นก้อน ดังนั้นสูตรนี้จึงเลือกที่จะนำมาผสมกันก็จะได้รสชาติที่หวานพอดี และมีกลิ่นหมอ น้ำตาล : ภาพโดยผู้เขียน ๕.นำมะม่วงที่ล้างแล้วใส่ลงไปในหมอน้ำตาล จากนั้นก็คนไปเรื่อย ๆ ใช้ไฟให้อ่อนที่สุดเพราะน้ำตาลจะไหม้ได้ คนไปจนมะม่วงเป็นสีใสสวยงาม มะม่วงเริ่มเป็นสีใส : ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ๖.ตักออกจากหมอแล้วนำมาพักไว้ จากนั้นก็สามารถรับประทานได้เลย มะม่วงแก้ว : ภาพโดยผู้เขียน เมื่อทำเสร็จแล้วก็สามารถทานได้เลย แต่สูตรนี้ขอแนะนำให้ใส่กะทิลงไปก่อนที่จะรับประทานตามชอบ จะทำให้ได้รสชาติของหวานแบบของหวานไทยเพิ่มขึ้น มะม่วงแก้วใส่กะทิ : ภาพโดยผู้เขียน จากสูตรการทำมะม่วงแก้วข้างต้น จะเห็นว่าคนไทยมีภูมิปัญญาที่สามารถทำของเปรี้ยวให้เป็นของหวานได้อย่างยอดเยี่ยมและลงตัว โดยการใช้อีกรสข่มไว้ ในที่นี้ก็ใช่รสหวานและรสเค็ม ซึ่งจะไปข่มรสเปรี้ยวเอาไว้ จึงทำให้มะม่วงที่มีรสเปรี้ยวกลายเป็นของหวานได้ *** การทำน้ำปูนใส การทำน้ำปูนใสทำได้ง่าย ๆ โดยการใช้ปูนขาวหรือปูนแดงก็ได้ นำไปละลายในน้ำสะอาดแล้วทิ้งไว้ให้ตกตะกอน ถ้าจะดีให้ทิ้งไว้หนึ่งคืน จากนั้นน้ำปูนจะใส แล้วก็ให้เทเอาเฉพาะส่วนที่ใสของน้ำ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการทำน้ำปูนใส