มาทำความรู้จัก 4ตระกูลCactusที่นิยมปลูกกันเถอะถ้าจะพูดถึงไม้ประดับที่ได้รับความนิยมตลอดมา แคคตัสก็จัดว่าเป็นไม้ประดับที่น่าสนใจชนิดหนึ่ง เนื่องจากลักษณะเด่นของลำต้นที่ดูเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน รวมทั้งรูปทรงและสีสันที่แปลกตามมากมาย โดยเฉพาะหนามที่ขึ้นอยู่รอบซึ่งต่างไปจากไม้ประดับประเภทอื่นๆ ขนาดของต้นที่เล็กกะทัดรัด ทำให้ไม่เปลืองเนื้อที่ในการปลูกเลี้ยง อีกทั้งมีดอกที่มีสีสันสวยงามสะดุดตา และที่สำคัญคือ การดูแลรักษาค่อนข้างง่าย และเหตุผลนี้จึงทำให้ แคคตัสจึงเป็นที่นิยมในการหามาปลูกมากๆในปัจจุบัน หรือที่เรารู้จักกันว่า ไม้อวบน้ำ วันนี้เราจึงยกตัวอย่าง4ตระกูลของแคคตัสมาแนะนำให้รู้จักกัน1.ตระกูลโอพันเทีย (Opuntia)โอพันเทีย มีมากมายกว่า400ชนิดและหลากสายพันธุ์ ชื่อตระกลูมาจากชื่อเมือง Opuntia ในประเทศกรีซ Opuntia มีทั้งต้นเล็กๆที่เป็นทรงกลมต่อๆกัน จนถึงชนิดที่มีขนาดใหญ่ สูงกว่า 2เมตร เป็นทรงกระบอกต่อกัน มีลักษณะสูงใหญ่เหมือนไม้ยืนต้น หนามมีทั้งแบบแข็งยาวที่เป็นอันตราย หรืออ่อนคล้ายกระดาษไม้ตระกูลนี้มีดอกดกและสวยงามมาก ดอกของ Opuntia ไม่มีท่อดอก ส่วนรังไข่มีขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยหนาม ดอกมีสีขาว สีเหลือง สีส้ม สีแดง และสีม่วงแดง ผลเป็นทรงกลมหรือรูปไข่ เมื่อแก่จะเริ่มมีสีเหลืองถึงสีแดงOpuntia Microdasys มีลักษณะขึ้นรวมกันเป็นกลุ่ม ลำต้นแต่ละท่อนเป็นรูปขอบขนาน รูปไม่กลับถึงรูปกึ่งทรงกลมสีเขียว กระจุกหนามย่อย สีเหลืองหรือสีขาวไม่มีหนาม หายากที่มีหนามสภาพการปลูกOpuntia หลายชนิดๆชอบน้ำมาก และบางชนิดไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิหนาวเย็นได้ทนอุณหภูมิต่ำได้ถึง –18องศาเซลเซียส2.ตระกูลแมมมิลลาเรีย ( Mammillaria )แมมมิลลาเรีย มีมากมาย400ชนิดและหลากหลายสายพันธุ์ ชื่อตระกลูมาจากภาษาลาตินว่า Mammilla (Nipple) ซึ่งหมายถึง โครงสร้างที่เป็นเนินหนามขนาดเล็กของพืช แมมมิลลาเรียมีรูปทรงแตกต่างกันไปมากมาย ซึ่งอาจเป็นทรงกลมแป้นหรือทรงกระบอกขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆหรือเป็นกลุ่ม หัวมีรูปทรงและรูปร่างต่างกันไป หนามมีหลายสี หลายขนาด รูปร่างเป็นขนหรือเป็นตะขอ ส่วนมากดอกมีขนาดเล็ก ดอกส่วนมากเป็นทรงระฆังหรือทรงกรวยMammillaria longicoma มีรูปทรงกลม ค่อนข้างสูง ขึ้นรวมกันเป็นกลุ่ม เนินหนามรูปกรวย สีเขียวเข้ม ซอกเนินหนามประกอบด้วยขนยาวสีขาว บอบบางคล้ายเส้นผมตรงปลายจะงอคล้ายตะขอ ข้างบนสีน้ำตาล มีดอกสีขาว ผลมีสีแดง ส่วนเมล็ดมีสีดำสภาพการปลูกส่วนใหญ่การปลูกเลี้ยงง่ายต้องการดินระบายน้ำดี พวกที่มีหนามไม่หนาแน่นต้องการแดดไม่มาก 3.ตระกูลโลโฟโฟรา ( Lophophora )โลโฟโฟรา มีอยู่2 ชนิดแต่หลากหลายสายพันธุ์ ชื่อตระกูลมาจากภาษา กรีก หมายถึง การผลิดอกออกผลที่ส่วนยอด มีทั้งขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆหรือเป็นกลุ่ม ต้นสีเหลืองซีดจนถึงสีเขียวอมฟ้า ทรงกลม อ่อนนุ่ม มีระบบรากสมบูรณ์ ลำต้นเป็นสันตุ่มหนามเป็นปุยสีขาวอยู่ห่างกันเห็นได้ชัดเจน ไม่มีหนาม ดอกจะมีสี ดอกสีขาว สีเหลือครีม หรือสีชมพูLophophora williamsii แตกหน่อมากตั้งแต่ยังมีขนาดเล็กอยู่ แตกต้นเล็กๆขึ้นรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆน้อยมาก ออกดอกยาก นอกจากจะแยกออกมาเป็นต้นเดี่ยวๆตุ่มหนามเห็นเป็นปุยนุ่มสีขาวสภาพการปลูกการเจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียวหรือดินทราย โตช้าแต่ให้ผลได้ง่าย ออกดอกภายใน5-6ปี4.ตระกูลยิมโนคาไลเซียม (Gymnocalycium )ยิมโนคาไลเซียม มีมากกว่า120ชนิดและหลายสายพันธุ์ ชื่อตระกูลมาจากภาษากรีก ซึ่งหมายถึง ตาเปลือย แคคตัสตระกูลนี้เป็นตระกูลที่น่าสนใจเพราะมีหลายรูปทรงแตกต่างกันไป อีกทั้งมีดอกสีสันสวยงาม บางชนิดมีขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ชนิดที่ต้นมีขนาดเล็กมักรวมกันอยู่เป็นกลุ่มต่างกับชนิดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมัจะขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ ดอกมีรูปร่าง หลากขนาด บ้างเป็นทรงกรวย บ้างเป็นทรงระฆัง มีหลายสี สีขาว สีเหลือง สีเขียว สีชมพู และเฉดสีแดง ผลเป็นรูปไข่ เมื่อแก่จะเป็นสีเขียวปนน้ำตาล สีแดง หรือสีเทาหินชนวนGymnocalycium denudatum มีลำต้นเดี่ยวหรือแตกต้นเล็กออกมาจากโคนต้น รูปร่างกึ่งทรงกลม ปลายเว้าเป็นแอ่ง ต้นสีเขียวถึงสีเขียวคล้ำ เมื่อต้นโตขึ้นสันอาจเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย สันต้นมนตื้น หนามสีเหลืองอ่อน ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีขาว หนามมักโค้งและแนบไปกับผิวต้น ไม่มีหนามกลาง ดอกสีขาว กลีบดอกอาจมีสีเขียวปนสภาพการปลูกตระกูลนี้เลี้ยงง่าย ชนิดที่มีนาดเล็กออกดอกได้ภายใน2-3ปี ในฤดูหนาวถ้างดให้น้ำจะทนต่ออุณหภูมิต่ำได้ Cr.รูปภาพหน้าปกโดย: Mezzoขอบคุณภาพประกอบจาก:freepik/wallpaperflare/comons/ภาพประกอบที่1/ภาพประกอบที่2/ภาพประกอบที่3/ภาพประกอบที่4